7 เดือน นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 9.5 หมื่นล้าน

หุ้นไทย-set

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผย 7 เดือนแรกปีนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 9.5 หมื่นล้านบาท เป็นการขายต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ภาพรวมดัชนี SET Index เดือน ก.ค.ลดลง 4.1% สัดส่วนนักลงทุนรายย่อย มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 คิดเป็น 47.42% ของมูลค่าการซื้อขายรวม

วันที่ 5 สิงหาคม 2564 นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ม.ค.- ก.ค. 2564) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 9.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยในเดือน ก.ค. 64 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปราว  17,741 ล้านบาท แต่ในภาพรวม 7 เดือนยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 2.63 แสนล้านบาท

โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 ภาพรวมดัชนี SET Index ปิดที่ 1,521.92 จุด ลดลง 4.1% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยภาพ 7 เดือนแรกปีนี้ ดัชนี SET Index ยังสามารถปรับเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ในภูมิภาคในหลายอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายศรพลกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามจากกรณีที่รัฐบาลจีนพยายามใช้มาตรการควบคุมบริษัทในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เพื่อลดการผูกขาดและป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนทั้งในจีนและต่างประเทศ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนที่ผ่านมา

ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ  (IMF)  มองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างหากในช่วงปกติหากไม่มีสถานการณ์อะไรที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจโลกจะโตประมาณ 3% แต่ในปีที่แล้วตั้งแต่เริ่มเกิดสถานการณ์โควิด-19  การเติบโตก็ติดลบลงไปและส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำ ส่งผล IMF มองว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าจะโตอยู่ที่ประมาณ 6% 


ทั้งนี้ IMF ได้มีการปรับประมาณการณ์ GDP ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (Emerging Market : EM)  จาก 5.1% เป็น 5.6% รวมทั้งประเทศไทย จีนและประเทศในอาเซียน จาก 7.9% เป็น 7.5% เพราะฉะนั้นตัวเลขการเติบโตจะไปอยู่ในประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วเป็นหลัก

ซึ่งทาง IMF มองว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ GDP ว่าจะโตหรือฟื้นได้เร็วขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดและกระจายฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้มากแค่ไหน ยิ่งดำเนินการได้เร็วก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เร็วเท่านั้น

อย่างไรก็ดีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม, กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร, กลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง, กลุ่มบริการ รวมถึงกลุ่มที่เชื่อมโยงกับเรื่องของการส่งออกและเป็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จาก new normal

ภาพรวมมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่  84,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาพ 7 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 96,388 ล้านบาท โดยตั้งแต่เดือน ก.พ. 63 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่17 โดยในเดือน ก.ค. 64 คิดเป็น 47.42% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 47.18% 

ทั้งนี้เดือนกรกฎาคม  2564 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 3 บริษัท และ 1 ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของ mai จำนวน 1 บริษัท โดยใน 7 เดือนแรกปี 2564 SET มีมูลค่าระดมทุน (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ใน ASEAN ซึ่งประเทศไทยยังคงเป็นแชมป์ไอพีโอ (IPO) อย่างต่อเนื่อง