“อัศวิน” ปธ.พิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ กรุงเทพฯ ณ หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง

เมื่อวันที่ 12 เมษายน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในการประกอบ พิธีพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ ณ หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง สำหรับการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2562 และเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปเก็บรักษารวมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ อีก 76 จังหวัด ณ ห้องดอกแก้ว กระทรวงมหาดไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 12.50 น. ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วยผู้บริหารและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรุงเทพมหานคร เดินทางถึงบริเวณพิธี ณ หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นเริ่มพิธีสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์โดยรอบพระราชฐานชั้นใน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อธิษฐานจิตพลีกรรมตักน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบาตรน้ำมนต์ภายในหอศาสตราคมบรรจุในคนโท จากนั้นผู้ว่าฯ กทม.เชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์ จากหอศาสตราคมขึ้นรถยนต์บริเวณหน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เคลื่อนผ่านถนนอมรวิถี เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนจักรีจรัณย์ ผ่านประตูพิมานไชยศรี และประตูวิเศษไชยศรี เพื่อออกไปยังถนนหน้าพระลาน ซึ่งเป็นจุดตั้งริ้วขบวนเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์

กระทั่งเวลา 13.45 น. ผู้ควบคุมริ้วขบวนให้สัญญาณทำความเคารพน้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อรถยนต์เชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์มาถึงถนนหน้าพระลาน รถยนต์เชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าประจำในริ้วขบวน จากนั้นผู้ควบคุมริ้วขบวนให้สัญญาณเคลื่อนริ้วขบวนเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์ จากถนนหน้าพระลานไปยังกระทรวงมหาดไทย โดยเคลื่อนริ้วขบวนไปตามถนนสนามไชย เลี้ยวซ้ายถนนกัลยาณไมตรี เลี้ยวขวาถนนอัษฎางค์ และเข้าสู่กระทรวงมหาดไทย รวมระยะทางตั้งแต่หอศาสตราคม จนถึงกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด 1,027 เมตร

ต่อมาเวลา 14.00 น. ริ้วขบวนเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์ถึงกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย (มท.) นำโดย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดมท. ตั้งแถวรอรับขบวน

จากนั้นผู้ว่าฯ กทม. และคณะผู้บริหารกทม. เชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์ของกรุงเทพมหานครขึ้นวางบนแท่นที่จัดไว้สำหรับกรุงเทพมหานคร ณ ห้องดอกแก้ว ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์จาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อรอการประกอบพิธีเสกน้ำอภิเษกรวม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเสกน้ำอภิเษก ในวันที่ 18 เมษายน เวลา 17.19 น. – 21.30 น. ณ วัดสุทัศนเทพวราราม

สำหรับ ริ้วขบวนเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย วงดุริยางค์จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ริ้วขบวนธงชาติและธงตราสัญลักษณ์พิธีบรมราชาภิเษก เชิญธงโดย เจ้าหน้าที่เทศกิจจาก 50 เขต ในกรุงเทพมหานคร และริ้วขบวนผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้เข้าร่วมขบวน ประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการสูง, หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักปลัดกรุงเทพมหานคร , ผู้อำนวยการสำนักงานในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) และสำนัก, ผู้อำนวยการกองหรือผู้อำนวยการส่วนในสังกัดสำนักงาน ก.ก. สำนัก และ ส่วนราชการในสังกัดสำนักปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการโรงพยาบาล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล รวมทั้งสิ้น 423 คน

ทั้งนี้ น้ำศักดิ์สิทธิ์จากหอศาสตราคม ไม่ต้องผ่านพิธีการอภิเษกน้ำก่อนเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากน้ำศักดิ์สิทธิ์จากหอศาสตราคมจะผ่านพิธีเสกทำน้ำพระพุทธมนต์สำหรับสรงพระพักตร์ และประพรมรอบพระมหามณเฑียร ทุกๆ วันพระ หรือวันขึ้น 8 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ วันแรม 8 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ เป็นประจำอยู่แล้ว รวมทั้งน้ำศักดิ์สิทธิ์จากหอศาสตราคมได้นำมาใช้ในพระราชพิธีสำคัญๆ ตามโบราณราชประเพณีอยู่เสมอ

สำหรับหอศาสตราคม หรือหอพระปริตร ตั้งอยู่ในกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน ตรงข้ามกับพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเห็นพระที่นั่งโถง ลักษณะเดียวกับพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งองค์เดิมแล้วสร้างหอศาสตราคม เพื่อให้พระสงฆ์ฝ่ายรามัญนิกาย ทำพิธีสวดพระพุทธมนต์สัตปริตรคาถาเสกน้ำพระพุทธมนต์ สำหรับสรงพระพักตร์ และ น้ำสรง

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นพิธีการว่า พิธีเชิญคนโทน้ำศักดิ์สิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร เป็นจุดสุดท้าย จากก่อนหน้านี้ ผู้ว่าราชการจาก 76 จังหวัดทั่วประเทศ เชิญคนโทน้ำอภิเษกและน้ำสรงพระมุรธาภิเษกจาก 107 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 85 คนโทมาเก็บรักษาที่กระทรวงมหาดไทยแล้ว สำหรับกรุงเทพมหานครเป็นอันดับที่ 108 เชิญน้ำจากหอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อรอเชิญไปไว้ที่วัดสุทัศนเทพวราราม ในวันที่ 18 เมษายน โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเสกน้ำอภิเษกรวม และในวันที่ 19 เมษายน จะเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เสกพระพุทธมนต์แล้วกลับไปเก็บรักษาในพระบรมมหาราชวัง

“สำหรับทุกคนที่มาร่วมพิธีในวันนี้ถือว่ามีบุญวาสนามาก ด้วยพิธีอันยิ่งใหญ่แบบนี้น่าจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ถือเป็นมหามงคลสูงสุด และในความเป็นจริงคนทั้งประเทศมากกว่า 67 ล้านอยากมาร่วมชื่นชมพระบารมี แต่ด้วยพื้นที่จำกัดตลอดเส้นทางเลียบพระนครทางสถลมารคระยะทางเพียง 6,200 เมตร รองรับคนได้ประมาณ 2-3 แสนคนเท่านั้น นายกรัฐมนตรีจึงสั่งให้มีการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมีพร้อมกันทั่วประเทศ ในส่วนของกรุงเทพมหานครจะมีการติดตั้งจอแอลอีดีทั่วกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เพื่อถ่ายทอดพระราชพิธีตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นพระราชพิธี” พล.ต.อ.อัศวินกล่าว

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวอีกว่า ด้านความพร้อมทางสถานที่ ดำเนินการแล้วเสร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้สมบูรณ์และงดงามสมพระเกียรติตลอดช่วงวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ด้านนายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการประชุมครั้งสุดท้ายเพื่อเตรียมการพิธีเสกน้ำอภิเษกรวม จากกทม. และ 76 จังหวัด รวมถึงพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 18 เมษายน ณ วัดสุทัศนเทพวราราม มีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านกายภาพ และการตกแต่งสถานที่ ทั้งภายนอกและภายใน โดยได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักพระราชวัง กรมการศาสนา และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่จะเข้ามาดำเนินการในทุกขั้นตอน โดยมีแม่งานใหญ่ คือกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง

“สำหรับฤกษ์ในการเสกน้ำพระพุทธมนต์ อยู่ในห้วงเวลา 17.19 – 21.30 น. อย่างไรก็ตามพิธีดังกล่าวจะแล้วเสร็จก่อนฤกษ์เล็กน้อย เนื่องจากจะมีการสวดภาณวาร โดยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในเวลา 19.19 น. ทั้งนี้ วัดสุทัศน์ฯ อยู่ในระหว่างการซ่อมบูรณะ เพื่อเตรียมการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงไม่สามารถเตรียมสถานที่รองรับประชาชนได้อย่างสะดวก หากประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมในพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ครั้งนี้ สามารถรับชมจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และการถ่ายทอดเสียงจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา 16.45 – 20.00 น.” นายพรพจน์ กล่าว

นายพรพจน์ กล่าวต่ออีกว่า ในการซ้อมเสมือนจริง ขบวนเชิญน้ำอภิเษก และน้ำสรงพระมรุธาภิเษก จากมท. ไปยังวัดสุทัศน์ฯ และขบวนเชิญน้ำอภิเษกจากวัดสุทัศน์ฯ ไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม การซ้อมเป็นไปตามเป้าหมาย ขบวนเชิญน้ำอภิเษก มีความสวยงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้มีการปรับแก้ไขเรื่องความพร้อมเพรียง เพื่อให้วันจริงสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น พร้อมเพรียง และสมพระเกียรติที่สุด

 

 

ที่มา : มติชนออนไลน์