ต้านไม่อยู่​! ฝรั่งเศส รัวครึ่งหลัง ถล่ม โครเอเชีย 4-2 ซิวแชมป์โลกสมัย 2 สุดยิ่งใหญ่

Soccer Football - World Cup - Final - France v Croatia - Luzhniki Stadium, Moscow, Russia - July 15, 2018 France's Paul Pogba celebrates scoring their third goal with team mates REUTERS/Carl Recine

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม เป็นเกมเตะรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างทีม “ตราไก่” ฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลก 1 สมัยเมื่อปี ค.ศ.1998 พบกับ “ตาหมากรุก” โครเอเชีย ที่สร้างประวัติศาสตร์เข้ามาลึกถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก โดยเกมรอบชิงชนะเลิศฟาดแข้งกันที่ลุซนิกิ สเตเดียม กรุงมอสโก

ทีมตราไก่ตบเท้าเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศรายการระดับเมเจอร์ 2 รายการติดต่อกันหลังจาก 2 ปีก่อนผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูโร 2016 มาแล้ว และนี่นับเป็นการเข้าชิงแชมป์โลกเป็นครั้งที่ 3 ของพวกเขา โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ที่เป็นเจ้าภาพเอง ก่อนที่ในนัดชิงชนะเลิศจะสามารถเอาชนะ “แซมบ้า” บราซิล ไปได้ 3-0 คว้าแชมป์สมัยแรกไปครอง จากนั้นถัดมา 8 ปี เข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี แต่ทว่าพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับ “อัซซูรี่” อิตาลี 3-5 หลังเสมอในเวลา 120 นาที 1-1

สถิติในการเจอกันที่ผ่านมาของทั้งสองทีมเจอกันมา 5 ครั้ง โครเอเชียยังไม่เคยเอาชนะฝรั่งเศสได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แพ้ไป 3 ครั้ง และเสมอกันอีก 2 ครั้ง ซึ่งครั้งเดียวที่เจอกันในฟุตบอลโลกคือ รอบรองชนะเลิศ เมื่อปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเอาชนะไปได้ 2-1 จาก 2 ประตูของลิลิยอง ตูราม ส่วนโครเอเชียยิงได้จาก ดาวอร์ ซูเคอร์ ดาวซัลโวประจำฟุตบอลโลกหนนั้น

สำหรับ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ กุนซือทีมชาติฝรั่งเศสวัย 49 ปี จัดทัพ 11 คนแรก ประกอบด้วย อูโก้ โยริส, บ็องฌาแม็ง ปาวาร์, ราฟาเอล วาราน, ซามูเอล อุมติตี้, ปอล ป๊อกบา, อองตวน กรีซมันน์, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, คีเลียน เอ็มบัปเป้, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, แบลส มาตุยดี้, ลูคัส เอร์นานเดซ

ฝั่งโครเอเชีย ของ ซลัตโก้ ดาลิช กุนซือโครเอเชีย จัดทีม 11 คนแรก ประกอบด้วย ดาเนียล ซูบาซิช, ซีเม่ เวอร์ซาลโก้, อีวาน สตรินิช, อีวาน เปริซิช, เดยัน ลอฟเรน, อีวาน ราคิติช, ลูก้า โมดริช, มาร์เซโล่ โบรโซวิช, มาริโอ มานด์ซูคิช, อันเต้ เรบิช, โดมากอย วีด้า

เริ่มเกม โครเอเชียเขี่ยบอลก่อน และออกสตาร์ทด้วยความคักคัก วิ่งไล่บอลกันบ้าระห่ำ ส่วนฝรั่้งเศสดูจะเกร็งๆ ในช่วงต้นเกม ยังต่อบอลกันไม่ถนัดนักเพราะโดนนักเตะโครแอตวิ่งบีบพื้นที่ไล่บอลในทุกแดน

ผ่าน 10 นาทีแรก ฝรั่งเศส เริ่มจับจังหวะเกมได้ และตั้งเกมขึ้นมากดดันใส่โครเอเชียได้บ้าง นาทีที่ 18 ฝรั่งเศสได้ฟรีคิก 25 หลา กรีซมันน์ เปิดด้วยซ้ายไปหน้าประตู ราฟาเอล วาราน พยายามขึ้นโหม่งแต่ไม่โดน บอลเลยมาถึงมาริโอ มานด์ซูคิช ตั้งใจจะโหม่งสกัด แต่บอลแฉลบเข้าประตูไป และเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของมานด์ซูคิช ทำให้ฝรั่งเศส ออกนำก่อน 1-0

หลังเสียประตูไป โครเอเชีย ยิ่งโหมวิ่งไล่บอลแบบบ้าเลือด แต่ยิ่งเร่งจังหวะยิ่งผิดพลาดในการต่อบอล ต่างกับฝรั่งเศส ที่ค่อยๆ ต่อบอลเน้นความชัวร์ แพคเกมรับแน่นตามสไตล์

นาทีที่ 26 ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวรับของฝรั่งเศส รับใบเหลืองเป็นรายแรกจากการไปตัดเกมกลางสนามใส่ อีวาน เปริซิช ต่อมานาทีที่ 27 โครเอเชีย ตีเสมอได้สำเร็จ จากการตะบันสุดงามของ อีวาน เปริซิช บอลไปแฉลบขา ราฟาเอล วาราน เข้าประตูไปเช่นกัน

นาทีที่ 34 แฟนโครเอเชียต้องระทึกเมื่อผู้ตัดสินเรียกดูวีเออาร์ช่วยตัดสิน จากจังหวะเตะมุม มาตุยดี้ โหม่งที่เสาแรก แต่เปริซิช ผู้ทำประตูตีเสมอของโครเอเชีย ไปเจตนาใช้มือตบบอลในเขตโทษ ทำให้ผู้ตัดสินตัดสินใจเป่าให้จุดโทษกับฝรั่งเศส และเป็นอองตวน กรีซมันน์ ตะบันเข้าไปให้ฝรั่งเศสออกนำ 2-1

โครเอเชียกลับมาเร่งเครื่องอีกครั้ง นาทีที่ 40 ลูคัส เอร์นานเดซ ไปสกัดใส่นักเตะโครแอต และจบครึ่งแรกฝรั่งเศสออกนำ 2-1

ครึ่งหลัง นาทีที่ 47 โครเอเชีย หวุดหวิดตีเสมอได้จากการสับไกยิงของอันเต้ เรบิช แต่อูโก้ โยริส บินปัดไว้สุดงาม โครแอตยังโหมบุกอย่างหนัก

นาทีที่ 51 ฝรั่งเศสโต้กลับเร็ว คีเลียน เอ็มบัปเป้ ลากหลุดไปทางขวา ก่อนจะยิงไปตัดขา ดาเนียล ซูบาซิช ประตูโครแอต นาทีที่ 53 ฝรั่งเศส ตัดสินใจเปลี่ยนตัวรายแรก ถอด เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ออกแล้วส่ง สตีเว่น เอ็นซองซี่ มาไล่ตัดเกมแดนกลางแทน

นาทีที่ 58 ฝรั่งเศส ออกนำห่าง 3-1 จากการบรรจงแปด้วยซ้ายสุดสวยของ ปอล ป๊อกบา มิดฟิลด์เลือดอสูรแดงที่กรอบ 18 หลา

หลังโดนนำห่าง 3-1 โครเอเชีย ขึ้นมาขึงใส่ฝรั่งเศสอยู่หลายนาที แต่แล้วนาทีที่ 64 ฝรั่งเศสหนีห่างเป็น 4-1 จากการสับไกสุดสวยของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่นอกกรอบเขตโทษ

นาทีที่ 68 โครเอเชีย ไล่มาห่างๆ 2-4 ประตู จากความเฟอะฟะของ ฮูโก้ โยริส ประตูฝรั่งเศส ที่จะไปล็อกบอลหลบ มานด์ซูคิช กองหน้าโครแอต แต่ไม่พ้นบอลโดนขามานด์ซูคิช เข้าประตูไปชนิดแฟนตราไก่ทั่วโลกด่าความชุ่ยของโยริสระงม

ช่วง 10 นาทีสุดท้าย ฝรั่งเศส ถอด โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ออกมาพัก และส่ง นาบิล เฟคีร์ ลงมาแทน โครเอเชียพยายามครอสบอลจากริมเส้นฝั่งซ้าย และขวาไปหน้าประตู แต่ 2 เซนเตอร์ทีมตราไก่อย่าง ราฟาเอล วาราน และซามูเอล อุมติตี้ โหม่งสกัดไว้ได้หมด จบเกมฝรั่้งเศสเอาชนะไป 4-2 ผงาดครองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 และเป็นสมัยที่ 2 ของทีมตราไก่ต่อจากปี ค.ศ.1998 ในบ้านเกิดของตัวเอง โดยฝรั่งเศสรับเงินรางวัล 38 ล้านดอลลาห์สหรัฐ หรือประมาณ 1,254 ล้านบาท ส่วนโครเอเชียที่ได้รองแชมป์ได้รับ 28 ล้านดอลลาห์สหรัฐ หรือประมาณ 924 ล้านบาท

ทั้งนี้จากการที่ฝรั่งเศสเอาชนะโครเอเชีย และผงาดครองแชมป์โลกสมัยที่ 2 ได้สำเร็จนั้น ทำให้ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ กุนซือวัย 49 ปี เป็นคนที่ 3 ของโลก ที่สามารถคว้าแชมป์โลกทั้งตอนสมัยเป็นนักเตะและผู้จัดการทีม ต่อจาก มาริโอ ซัลลาโล่ ของทีมชาติบราซิล ที่เป็นแชมป์ในฐานะนักเตะปี 1958, 1962 แล้วคุมทีมเป็นแชมป์ ปี 1970 กับฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ที่เป็นกัปตันทีมชาติเยอรมนีปี 1974 และคุมทีมคว้าแชมป์ปี 1990

 

 


ที่มา มติชนออนไลน์​