อุตฯอินทรีย์คึกคัก! อาหาร-เครื่องดื่ม”ออแกนิก”ทั้งโลกพุ่ง 8.1 หมื่นล้านดอลล์ ไทยโตอันดับ3ในอาเซียน

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จัดงาน Organic&Natural Expo 2017 หรือ ONE 2017 ที่ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมเเห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ในงานมีการปาฐกถาเรื่อง “โอกาสของสินค้าอินทรีย์ในอาเซียน สู่ตลาดโลก” โดย นายมาร์คัส รีสส์ ผู้อำนวยการบริหาร Nurnberg Messe GmbH ซึ่งเป็นบริษัทจัดแสดงสินค้ารายใหญ่ของโลกจากเยอรมนี

นายรีสส์ กล่าวถึง ภาพรวมตัวเลขอุตสาหกรรมอินทรีย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าปัจจุบันมีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ (ออแกนิก) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันประเทศเยอรมันมีกลุ่มประชากรที่ทำเกษตรอินทรีย์เพียง 1.1% นับว่ายังมีจำนวนน้อย ทั้งนี้ จากการสำรวจพื้นที่ปลูกอินทรีย์ ในเอเชีย มีพื้นที่ราว 4 ล้านเฮกเตอร์ และอีกราว 5.6 ล้านเฮกเตอร์เป็นเกษตรเเบบผสมผสาน โดยการเปรียบเทียบพื้นที่การปลูกเกษตรเเบบอินทรีย์ในช่วงปี 2014-2015 พบว่า อินเดีย เเละจีนเป็นประเทศที่มีการเเข็งขันในการทำเกษตรอินทรีย์สูง

นอกจากนี้ พบว่า ประเทศฟิลิปปินส์มีอัตราการเติบโตของการทำเกษตรอินทรีย์ถึง 113% ขณะที่เวียดนามโตอยู่ที่ 78% ตามมาด้วยประเทศไทยอยู่ราว 57%-58% เป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายรีสส์ กล่าวต่อว่า ในปี 2015 สัดส่วนการค้าปลีก สินค้าออเเกนิกประเภท อาหารเเละเครื่องดื่มจากทั่วโลก มีมูลค่าตลาดถึง 8.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 2 ล้านล้านบาท เเสดงถึงความเติบโตของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ในการเข้าถึงตลาดเกษตรอินทรีย์ ต้องมองหาช่องทางของตลาด ดูว่าสินค้าสามารถขายได้เเค่ไหน ต้องเลือกประเทศที่จะลงทุน ซึ่ง 1 ใน 4 ของพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่กำลังพัฒนา โดยในปี 2015 กลุ่มอาเซียนมีพื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์ประมาณ 513,000 เฮกเตอร์ เเละมีสินค้าเกษตรกว่า 197,000 อย่าง”ผู้บริหารจาก”นูร์นเบิร์ก”กล่าว และว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมอินทรีย์ในกลุ่มอาเซียนนับว่าพุ่งขึ้น เป็นไปในทิศทางที่ดี ส่วนภาพรวมของเอเชียต้องพัฒนาตลาดภายในแต่ละประเทศ รวมถึงออกใบรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะจะช่วยส่งสินค้าสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น

“ด้านความยั่งยืนในอนาคตของตลาดอินทรีย์ ยังไม่มีเเผนที่ตายตัว ยอดขายสินค้ายังเป็นความท้าทายผู้ประกอบการ ต้องทำให้อุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน ภายภาคหน้าเราอาจจะไม่ได้ร่วมมือกันเฉพาะกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เเต่อาจดึงทั้งโลกเข้ามาพัฒนาเกษตรอินทรีย์ร่วมกัน เพื่อส่งต่อสู่คนรุ่นต่อไป” นายรีสส์กล่าวในที่สุด