ว่ากันว่านี่คือ “ศึกครูล้างศิษย์” ที่กลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของมาเลเซีย และของโลก ที่สามารถใช้เป็นกรณีศึกษาในอนาคตได้ดีอย่างยิ่ง
การที่ “ศาสตราจารย์ นายแพทย์ มหาธีร์ บิน โมฮามัด” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 (ค.ศ.1981-2003) ของมาเลเซีย ผู้สร้างรากฐานให้แดนเสือเหลืองเป็นมาเลเซียเช่นในปัจจุบัน ด้วยการพาประเทศเข้าสู่ยุคแห่งอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาโลกตะวันตก ได้ลุกขึ้นมาลงสมัครเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในวัย 92 ปี
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
- สงกรานต์ 2567 ทางด่วนฟรี มอเตอร์เวย์ฟรี สายไหนบ้าง ฟรีถึงวันไหน
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจาก “มิอาจยอมรับการกระทำอันไม่โปร่งใสของ นาจิบ ราซัก” นายกฯคนปัจจุบันผู้เปรียบเสมือนศิษย์ทางการเมืองของตนผลคะแนนในเช้าวันพฤหัสฯนี้ ระบุว่า
พรรคฝ่ายค้านปากาตัน ฮาราปัน (PH) และพรรคพันธมิตรของมหาธีร์ ได้เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 122 ที่นั่ง จาก 222 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเสียงข้างมากที่คว้าชัยชนะแล้ว ขณะที่พรรคบาริซัน เนชั่นแนล (BN) ของนาจิบ ราซัก ที่ครองการบริหารมากว่า 60 ปี ได้เก้าอี้สภาไปเพียง 79 ที่นั่ง
โดยหลังผลการเลือกตั้งชัดเจน มหาธีร์ประกาศต่อสาธารณะทันทีว่า “เรามาแก้ไข มิใช่แก้แค้น เราจะนำหลักนิติธรรมกลับคืนสู่ประเทศโดยเร็ว”
ขณะที่นาจิบ ได้ออกมาแถลงยอมรับความพ่ายแพ้ โดยระบุว่า “ผมและเพื่อน ยอมรับผลการเลือกตั้งในวันนี้ เพราะนี่คือคำตัดสินจากประชาชน”
สำนักข่าวต่างประเทศหลายราย ตีประเด็นความพ่ายแพ้ของนาจิบว่า นอกจากประชาชนมาเลเซียจะไม่พอใจในเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นแล้ว สิ่งที่ทำให้นาจิบหล่นจากหลังเสือ เป็นเพราะกรณีอื้อฉาวกองทุน 1MDB โครงการกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย ที่มีการกล่าวหาว่ารัฐบาลนาจิบ ดึงเงินเข้ากระเป๋าตัวเองไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่นาจิบได้สั่งปลดเจ้าหน้าที่ทางการหลายตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนกองทุนดังกล่าว และหลายประเทศได้มีการตรวจสอบกรณีทุจริตคอร์รัปชั่น
ดังกล่าว และผู้เกี่ยวข้องกับนาจิบที่พัวพันกับกองทุนนี้ในสหรัฐอเมริกาได้ถูกจับแล้ว
รายงานข่าวระบุว่า พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมได้คะแนนเสียงส่วนมากจากชาวมาเลย์เชื้อสายจีนที่ถูกนโยบายของรัฐบาลพรรค BN กดขี่มาตลอด รวมถึงพลังเสียงจากคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลาง ที่รับไม่ได้ต่อการกระทำของนาจิบ
นักวิเคราะห์หลายราย ก็มองว่า อันที่จริงแล้ว พรรค BN ไม่ได้พ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ แต่ผู้ที่พ่ายแพ้ คือ “นาจิบและพรรคพวก” เพราะไม่ว่าพรรครัฐบาลจะงัดเล่ห์กลอะไรมาสู้ ทั้งเปลี่ยนวันเลือกตั้ง แต่งตั้งคณะกรรมการเลือกตั้ง หรือขัดขวางสมาชิกฝ่ายค้านไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้ง แต่สุดท้ายพรรคฝ่ายค้านก็ชนะในที่สุด
ขณะที่หลายเสียงมองว่าหากไม่ใช่ “มหาธีร์” ก็คงไม่มีใครโค่น “นาจิบ” ลงได้ เพราะมหาธีร์ คือผู้ก่อร่างสร้างพรรค BN มากับมือ และรู้ทุกซอกทุกมุมเกี่ยวกับพรรคนี้ดี ทั้งยังมีแรงเชียร์จากผู้สนับสนุนเก่าแก่สมัยบริหารประเทศไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม มหาธีร์ได้ประกาศแต่แรกว่า เขาจะอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 2 ปี ก่อนจะส่งต่ออำนาจให้แก่
“อันวาร์ อิบราฮิม” อดีตทายาททางการเมืองของมหาธีร์ ที่เคยบาดหมางด้านนโยบายต่อกัน ต่อมาจึงถูกข้อกล่าวหาทุจริตและรักร่วมเพศ ถูกจับกุมตัว ก่อนที่จะหวนกลับมาคืนดีกัน และ
ยืมมือกันและกันโค่นนาจิบลงจากบัลลังก์
สถานการณ์ต่อจากนี้ จึงเป็นไปได้มากที่มหาธีร์อาจขอพระราชทานอภัยโทษให้อันวาร์ ซึ่งมหาธีร์ระบุว่า หลังพ้นโทษ อันวาร์จะต้องลงเลือกตั้ง หรือไม่ก็เข้ามาเป็นวุฒิสภาก่อนสืบทอดตำแหน่งต่อไป
ขณะที่ทีมบริหารของรัฐบาลชุดใหม่ คนที่น่าจะลงตัวมากที่สุดในเวลานี้ น่าจะเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน “แพทย์หญิงวัน อาซิซาห์” ภรรยาของอันวาร์ ซึ่งเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อต่อต้านการจับกุมสามี ซึ่งเป็นรองนายกฯของมหาธีร์ในสมัยนั้น แพทย์หญิงวันมีโอกาสมากที่สุด ที่จะเข้ารับตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกแห่งมาเลเซีย”
แม้ภรรยาของอันวาร์จะยังรู้สึกเจ็บปวดที่มหาธีร์อยู่เบื้องหลังข้อกล่าวหาของสามีเธอ แต่เธอได้กล่าวทั้งน้ำตาพร้อมเสนอชื่อมหาเธร์เป็นนายกฯคนใหม่ ว่า “แม้ว่ามันจะยากที่จะยอมรับเขา แต่ฉันเชื่อว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว และเราสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อกอบกู้มาเลเซียคืนมา”
โฉมหน้าการเมืองมาเลเซียต่อจากนี้ แม้ยากจะคาดเดาว่าจะสำเร็จตามที่มหาธีร์วาดหวังหรือไม่ แต่บทวิเคราะห์จากไฟแนนเชียล ไทม์ส เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า การกลับมาของมหาธีร์ ไม่ใช่แค่เพียงสำคัญต่อมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงพลังประชาธิปไตยที่ถดถอยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะในประเทศเมียนมา กัมพูชา หรือไทย เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเสมือน “การลงมติไม่ไว้วางใจนาจิบ” จากพลังประชาชนอย่างชัดแจ้ง