“คอนโดเทล” ดาวดวงใหม่เวียดนาม

“การลงทุนดาวรุ่งที่สุดของเวียดนามในปี 2018 คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์” หนึ่งในบทความของนักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กระบุ

ผลจากรัฐบาลเวียดนามปรับกฎผ่อนคลายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติเมื่อปี 2015 โดยเฉพาะโอกาสเติบโตของ “Condotel” โครงการลูกผสมระหว่างคอนโดฯและโฮเต็ลที่กำลังมาแรง

เวียดนาม นิวส์ รายงานว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามโดดเด่นมากที่สุด ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ราว 2,600 แห่ง รวมทุนจดทะเบียนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตใหม่ มีมูลค่าถึง 623.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ รายงานระบุว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับโครงการการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับ “ไฮเอนด์” “ไมเคิล พิโร”ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ด้านบริการ “Indochina Capital” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกของการพัฒนาคอนโดเทล ให้สัมภาษณ์กับ “Vietnam Investment Review” ระบุว่า “โอกาสของคอนโดเทลโดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ที่เวียดนามกลายเป็น top 5 ของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในเอเชีย”

“คอนโดเทล” ไม่เพียงแต่จะเป็นทางเลือกใหม่ของกลุ่มนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจในเวียดนาม แต่ยังหมายถึงกลุ่มชนชั้นกลางถึงสูงของเวียดนามด้วย โดยหลายปีที่ผ่านมากลุ่มชนชั้นกลางเวียดนามเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี ทั้งมีรายงานวิเคราะห์ว่า ภายในปี 2020 สัดส่วนชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อของเวียดนามจะมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของชนชั้นกลางในไทย จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนได้ดีถึงโอกาสของอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อจับกลุ่มตลาดระดับบนในเวียดนาม

นายพิโรกล่าวว่า โครงการก่อสร้างคอนโดเทล นอกจากจะเห็นตามเมืองหลัก ๆ อย่าง โฮจิมินห์ และฮานอยแล้ว ยังกระจายไปตามเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะเมืองชายทะเลของเวียดนาม ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีชายหาดยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบของเวียดนามที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น

สำหรับกลุ่มผู้ซื้อหลัก ๆ มาจากชาวต่างชาติ นับตั้งแต่ปี 2015 ที่รัฐบาลเวียดนามผ่อนคลายกฎการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติได้อย่างไม่จำกัดจำนวน จากเดิมที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้เพียง1 แห่ง แต่ทั้งนี้ โครงการอสังหาริมทรัพย์แต่ละแห่งต้องมีต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ไม่เกิน 30% จากเดิมที่ไม่เกิน 10% เท่านั้น โดยยอดขายของปี 2017 ที่ผ่านมา กว่า 30% นั้นมาจากชาวต่างชาติ ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นด้วย

ขณะเดียวกันรัฐบาลเวียดนามพยายามโปรโมตนโยบาย “บ้านหลังที่ 2” ว่ามีความสำคัญ ทั้งในแง่ของการเป็นที่อยู่อาศัยและการเก็งกำไรได้ในอนาคต โดยพยายามปรับเปลี่ยนกฎระเบียบให้คนท้องถิ่นสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น รวมถึงกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อปกป้องผู้ซื้อและผู้ลงทุนที่ชัดเจน

ทั้งนี้ การเติบโตที่เร็วเกินไปของตลาดคอนโดเทลในเวียดนาม อาจกลายเป็นความเสี่ยงของนักลงทุนได้ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติบางรายมุ่งมั่นที่จะได้รับผลตอบแทนถึงปีละ 8-12% ในช่วง 8-10 ปี ซึ่งการสร้างความเข้าใจให้กับ “ผู้ซื้อ” โดยเฉพาะกับคนเวียดนามเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เพราะจะส่งผลให้เกิดความสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลายที่สมบูรณ์