ฟาสต์ฟู้ด No.1 ฟิลิปปินส์ ปักธง “ท็อป 5” โลก

แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดสัญลักษณ์ผึ้งน้อยสีแดง “จอลลิบี” เบอร์หนึ่งของฟิลิปปินส์กำลังรุกหนักตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายธุรกิจในสหรัฐอเมริกาและจีน ด้วยการปักธงขึ้นเป็นท็อป 5 แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดของโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า

นิกเกอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า นายโทนี ถัน แคกทอง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของจอลลิบี ฟาสต์ฟู้ดสัญชาติฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแฟรนไชส์ราว 3,000 สาขาทั่วโลก กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า การขยายธุรกิจในต่างประเทศเป็นขั้นตอนการต่อยอดธุรกิจที่สำคัญมาก โดยปัจจุบันตลาดสหรัฐและจีนถือว่าเป็นไฮไลต์ที่จอลลิบี ต้องการขยายธุรกิจให้มากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเปิดสาขาใหม่ การเข้าไปเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ รวมไปถึงการเทกโอเวอร์ธุรกิจในท้องถิ่นก็ตาม

พร้อมย้ำเป้าหมายใหญ่เพื่อขึ้นเป็น 1 ใน 5 แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดขนาดใหญ่ของโลกภายในปี 2020 โดยจอลลิบีต้องการจะเพิ่มสาขาร้านอาหารมากกว่า 4,000 แห่งทั่วโลก สำหรับตลาดสหรัฐคาดว่าจะเพิ่มสาขามากกว่า 80 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 39 สาขาที่กระจายอยู่ในหลายรัฐ ด้วยเหตุผลว่า มีชาวฟิลิปปินส์กว่า 3 ล้านคนอาศัยและทำงานอยู่ในสหรัฐ

นอกจากนี้ซีอีโอของจอลลิบีกล่าวว่า ร้านอาหารเม็กซิกันในสหรัฐกำลังเติบโตอย่างน่าสนใจ มีมูลค่าตลาดถึง 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเหตุผลที่จอลลิบีตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น 47% ในร้านอาหารเม็กซิกัน Tortas Frontera ด้วยมูลค่า 12.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ร้านอาหารเม็กซิกันที่ดีที่สุดในสหรัฐ และปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขาในท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ในชิคาโก และในมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

การซื้อหุ้นร้านอาหารเม็กซิกันครั้งนี้ถือเป็นการเน้นย้ำยุทธศาสตร์ของจอลลิบี ที่มุ่งขยายลงทุนในธุรกิจอาหารขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้นเพื่อขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ โดยบริษัทได้จัดสรรงบประมาณราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการซื้อกิจการในต่างแดนโดยเฉพาะ

นายโทนีกล่าวระหว่างแถลงการณ์ว่า ร้านอาหารเม็กซิกันในสหรัฐกำลังเติบโตเรื่อย ๆ และมีหลาย ๆ ร้านที่มีศักยภาพที่น่าสนใจ พร้อมยกตัวอย่างผลประกอบการ 2 ร้านอาหารเม็กซิกันชื่อดังในอเมริกา ได้แก่ Taco Bell และ Chipotle ที่มียอดขายในปีที่ผ่านมาถึง 9.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยอดขายของจอลลิบีรวมทั้งหมดอยู่ที่เพียง 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จอลลิบีได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น “Smashburger” จาก 45% เป็น 80% ซึ่งเป็นร้านเบอร์เกอร์สัญชาติอเมริกันจากรัฐโคโลราโด ซึ่งมีสาขากว่า 300 แห่งทั่วสหรัฐ

สำหรับแผนการขยายตลาดจีนนั้น นายโทนีระบุว่า มีธุรกิจร้านอาหารจีนขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากที่มีศักยภาพ อีกทั้งจำนวนผู้บริโภคชาวจีนที่ยังเป็นอันดับหนึ่งของโลกและมีกำลังซื้อสูง ซึ่ง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ จอลลิบีก็ได้เข้าซื้อหุ้นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดของจีนบ้างแล้ว เช่น Yonghe King และ Hong Zhuang Yuan รวมทั้งได้เข้าซื้อหุ้น 55% ในร้านอาหาร Guangxi San Pin Wang Food and Beverage

ที่น่าสนใจคือ กลยุทธ์การขยายธุรกิจของจอลลิบีไม่เพียงที่จะรุกหนักเปิดสาขาใหม่ หรือเข้าซื้อหุ้นในธุรกิจต่างประเทศเท่านั้น แต่นายโทนีกล่าวว่า จอลลิบีถือว่าเป็นธุรกิจฟาสต์ฟู้ดขนาดกลางเมื่อเทียบกับแบรนด์ยักษ์อื่น ๆ เช่น แมคโดนัลด์ และเคเอฟซี แต่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูงมาก ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาด หรือการเพิ่มเมนูอาหารใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดความหลากหลายสำหรับลูกค้านั้นไม่ยาก

ตั้งแต่ปี 2017 จอลลิบีได้เพิ่มเมนูก๋วยเตี๋ยวของจีนในบางสาขา นอกจากนี้ยังมีแฮมเบอร์เกอร์และกาแฟพรีเมี่ยม ดังนั้นเรากำลังคิดว่าจะเพิ่ม “นาโชส์” ซึ่งเป็นอาหารว่างที่เสิร์ฟพร้อมกับเมนูจำพวกเนื้อของเม็กซิกัน และ “เบอร์ริโต” หรือแซนด์วิชแบบเม็กซิกัน ให้เป็นเมนูพิเศษใหม่ล่าสุดในบางสาขาเร็ว ๆ นี้