ยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ของศตวรรษที่ 21 หรือ One Belt One Road (OBOR) ที่พาดผ่านตั้งแต่ภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา และยุโรป “จีน” สวมบทบาทเป็น “พ่อบุญทุ่ม” ให้กู้เงินก้อนโตกับประเทศยากจน ล่าสุดจีนฟื้นสัมพันธ์กับ “ฟิลิปปินส์” เป็นชาติต่อไป
รอยเตอร์สรายงานว่า ทริปเยือนกรุงมะนิลาของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในรอบ 13 ปี ระหว่างวันที่ 20-21 พ.ย. เพื่อหารือร่วมกับประธานาธิบดี “โรดริโก ดูเตอร์เต” ของฟิลิปปินส์ ผู้นำทั้งสองได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับความร่วมมือหลายฉบับ ครอบคลุมเกือบทุกด้านทั้งโทรคมนาคม การศึกษา ธุรกิจบริการ อีกทั้งจีนได้ตกลงที่จะนำเข้ามะพร้าวของฟิลิปปินส์จำนวนหลายพันตันในปีหน้า
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค.2567
- เรือชนสะพานถล่มในสหรัฐ กระทบเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต
ขณะที่ข้อตกลงที่นานาชาติให้ความสนใจก็คือ การสำรวจปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ทะเลจีนใต้ร่วมกัน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 4 โปรเจ็กต์ใหญ่ จากทั้งหมด 38 โครงการที่เคยหารือไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ภายใต้ยุทธศาสตร์ “สร้าง สร้าง สร้าง” มูลค่ากว่า 180,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ 2 ใน 4 โปรเจ็กต์ที่นานาประเทศจับตาก็คือ “โครงการสร้างเขื่อนคาลิวา” มูลค่า 232.5 ล้านดอลลาร์ โดยจีนเป็นผู้ลงทุนหลักถึง 85% และแผนปรับปรุงเส้นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่างกรุงมะนิลา กับพื้นที่ตอนใต้ของเกาะลูซอน
รายงานของ “บิสซิเนส มิเรอร์” อ้างผลวิเคราะห์ของ IBON องค์กรไม่แสวงผลกำไรของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า รัฐบาลปักกิ่งเคยประกาศเมื่อ 2 ปีก่อนว่า พร้อมจะเพิ่มการค้าการลงทุน รวมถึงปล่อยเงินกู้เพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลต้องการจะฟื้นฟู
แม้ว่าที่ผ่านมาการลงทุนของจีนในฟิลิปปินส์ยังน้อยกว่าการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น หรือน้อยกว่าเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และเวิลด์แบงก์ แต่จุดยืนของผู้นำดูเตอร์เตในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปมาก ทำให้เกิดความกังวลว่า การเปิดรับทุนจากจีนอย่างเต็มที่อาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ได้ รวมทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศด้วย
“คริสเตียน เดอ กุซมัน” รองผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่ด้านเครดิตอาวุโสแห่งบริษัท มูดีส์ ในสิงคโปร์ กล่าวว่า ศักยภาพของเมืองดาเวา ใกล้กับทางชายฝั่งแปซิฟิกของฟิลิปปินส์ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการขนส่งแร่ธาตุของจีนไปสู่ทวีปอื่น และเป็นเส้นทางที่สำคัญต่อโครงการ OBORสะท้อนว่า ฟิลิปปินส์ยังเป็นดินแดนที่รัฐบาลปักกิ่งไม่สามารถละเลยได้ และจีนต้องทำทุกทางเพื่อเสนอสิ่งจูงใจ เช่น การมอบเงินช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา แต่เงินทุนจากจีนไม่ใช่ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า ซึ่งจะมาเป็นรูปแบบของ “เงินกู้ก้อนใหญ่” ซึ่งหลายประเทศเมื่อไม่สามารถชำระเงินกู้คืนได้ ก็จำต้องยอมมอบสิทธิครอบครองพื้นที่หรือสาธารณูปโภคให้กับจีน เพื่อเป็นหลักประกัน
วิธีการดังกล่าวนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับหลายประเทศ งานวิจัยของศูนย์ศึกษาการพัฒนาโลกได้ระบุว่า ปัจจุบันมี 68 ประเทศที่รับเงินสนับสนุนตามโครงการ OBOR ของจีน และมี 23 ประเทศที่มีความเสี่ยงไม่สามารถชำระหนี้ได้ หนึ่งในนั้นคือ “ศรีลังกา” ในกรณี “ท่าเรือฮัมบันโททาไน” ที่ก่อสร้างด้วยเงินทุนกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ 85% มาจากจีน
หลังจากเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2010 ท่าเรือไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้า รัฐบาลศรีลังกาจึงจำยอมให้บริษัทของจีนเช่าท่าเรือแห่งนี้นานถึง 99 ปี เพื่อชดใช้หนี้ให้กับจีน
รายงานดังกล่าวเปิดเผยรายชื่อ 8 ประเทศ ที่อยู่ในขั้นวิกฤตไร้ความสามารถในการชำระหนี้จีน ได้แก่ 1) จิบูตี 2) ทาจิกิสถาน 3) คีร์กีซสถาน 4) สปป.ลาว 5) มัลดีฟส์ 6) มองโกเลีย 7) มอนเตเนโกร และ 8) ปากีสถาน จากข้อเสนอโครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน” เป็นต้น
“เจย์ บาทองบาคาล” ศาสตราจารย์ด้านกิจการทางทะเลระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ให้ความเห็นว่า เงินทุนจากจีนช่วยให้หลายประเทศเกิดการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และความช่วยเหลือของจีนอาจแฝงมาด้วยการเป็นพันธมิตรที่ดี แม้ว่าไม่ได้เป็นการบังคับขู่เข็ญเหมือนยุคล่าอาณานิคม แต่ผู้นำและผู้กู้เงินต้องพิจารณาข้อดี
ข้อเสียอย่างถี่ถ้วน เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีทั้งยังได้อ้างคำกล่าวของรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ แห่งสหรัฐ บนเวทีการประชุมเอเปกว่า “จีนมักหยิบฉวยโอกาสและผลประโยชน์จากประเทศอื่นจากนโยบายการปล่อยกู้ก้อนโตที่ดึงดูดใจ แต่นั่นเป็นยาพิษในคราบการช่วยเหลือของปักกิ่ง เพราะมันเป็นกับดักหนี้”