“อสังหา” สิงคโปร์ชะงัก รัฐขึ้นภาษีสกัดฟองสบู่

มาตรการป้องกันฟองสบู่ราคาอสังหาริมทรัพย์ของ “สิงคโปร์” ส่งผลฉุดให้ตลาดที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์ชะลอตัว หลังจากที่รัฐบาลปรับขึ้นค่าอากรแสตมป์ (stamp duty) สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา โดยมีผลทั้งกับคนสิงคโปร์และชาวต่างชาติ รวมถึงบริษัทต่างชาติในสิงคโปร์ที่จะต้องจ่ายภาษีที่อยู่อาศัยมากขึ้น

บลูมเบิร์กระบุว่า คนสิงคโปร์ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 เดิมเสียภาษีอยู่ที่ 7% จะปรับขึ้นเป็น 12% และหลังที่ 3 จะปรับขึ้นเป็น 15% จากเดิมที่ 10% สำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในสิงคโปร์ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเป็น 15% จากเดิม 10% และสำหรับคนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนซื้อบ้านในสิงคโปร์จะต้องเสียภาษี 20% จากเดิม 15% ส่วนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้านในสิงคโปร์ต้องเสียภาษีอยู่ที่ 25% จากเดิม 15%

“นิกเคอิ เอเชียน รีวิว” รายงานว่า ผลกระทบมาจากมาตรการสกัดเก็งกำไรของรัฐบาล รวมไปถึงความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก กำลังออกฤทธิ์ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์อยู่ในภาวะซบเซา

“คริสติน ลี” ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Cushman & Wakefield ในสิงคโปร์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์กำลังชะงัก เนื่องจากดีมานด์ของนักลงทุนลดลง โดยเฉพาะนักลงทุนบ้านและคอนโดฯในระดับไฮเอนด์ที่มีแนวโน้มว่าจะชะลอการซื้อมากที่สุด

โดยมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนจะหันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตลาดต่างประเทศแทน ซึ่ง 3 ประเทศเป้าหมายที่ถือว่าตลาดยังมีความน่าสนใจ ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา

ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ไตรมาส 4/2018 ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปีครึ่ง โดยข้อมูลจากองค์การพัฒนาเมืองของสิงคโปร์ (URA) ระบุว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 ที่ผ่านมา ราคาบ้านลดลง 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ราคาคอนโดฯหรูลดลง 0.9%

เหล่านักลงทุนแสดงความกังวล เพราะแม้ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์จะปรับลด แต่ก็เป็นการปรับลดเพียงเล็กน้อย เพราะต้นทุนด้านภาษีที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ราคาบ้านยังสูง

นายออง เท็ก ฮุย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของบริษัท JLL ผู้เชี่ยวชาญตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์กำลังขับเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ จากที่กระจุกตัวอยู่ในเขตใจกลางเมือง จากกำลังซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรทำให้ราคาพุ่ง แนวโน้มจะกระจายไปยังทำเลชานเมืองมากขึ้น

โดยคาดว่าราคาที่อยู่อาศัยในเขตชานเมืองปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 1.8% เนื่องจากการซื้อขายที่คึกคักมากขึ้น โดยประเมินว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อน่าจะเป็นประชาชนชาวสิงคโปร์ที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง

นายอองระบุว่า แม้ว่ามาตรการของรัฐบาลจะทำให้ต้นทุนในการเป็นเจ้าของบ้านชานเมืองสูงขึ้น แต่ด้วยเพราะต้นทุนราคาที่ดินที่ถูกกว่าใจกลางเมือง ดังนั้น อสังหาริมทรัพย์ตามแถบชานเมืองสิงคโปร์จะกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจของปีนี้

นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์มีแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เรียกว่า Bidadari Estate ขนาด 93 เฮกตาร์ ซึ่งเดิมเคยเป็นสุสานเก่า พัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาสำหรับประชาชนให้สามารถซื้อเป็นเจ้าของได้ ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์นำร่องของรัฐบาลที่ต้องการลดความแออัดในย่านใจกลางเมือง

นายทริเซีย ซอง หัวหน้าด้านการวิจัยจากบริษัท Colliers International ของแคนาดา กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2019 บรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ๆ ของสิงคโปร์ จะหันมาสนใจที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในเขตชานเมืองมากขึ้น และในอนาคตคาดว่าราคาที่ดินอาจปรับตัวสูงขึ้น สอดรับดีมานด์ของผู้ซื้อ

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!