ความขัดแย้งในรัฐยะไข่ส่งสัญญาณว่าจะรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ “ออง ซาน ซู จี” ไฟเขียวให้กองทัพเมียนมาเดินหน้ากวาดล้าง “กองทัพอาระกัน” ที่ต้องการปกครองตนเองอย่างอิสระ
รอยเตอร์สรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา นางออง ซาน ซู จี ในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดของรัฐบาล ได้หารือร่วมกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในรัฐยะไข่ โดยนางซู จี อนุมัติให้กองทัพเมียนมาปราบปรามกลุ่มกบฏได้ ถือเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลซู จี กับกองทัพทหารเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- ยื่นภาษีปี 2567 หมดเขตเมื่อไหร่ ยื่นไม่ทันต้องทำอย่างไร
ทั้งนี้ การต่อสู้ระหว่างกองกำลังรัฐบาล และกองทัพอาระกัน ในรัฐยะไข่ ทำให้มีประชาชนหนีตายเพิ่มอีกกว่า 4,500 คน ในช่วงเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ความขัดแย้งดังกล่าวรุนแรงขึ้น ล่าสุดสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศว่า มีชาวโรฮีนจาอยู่ในบังกลาเทศขณะนี้กว่า 750,000 คนแล้ว
“กองทัพอาระกัน” ต้องการปกครองตนเองอย่างอิสระ โดยพยายามเป็นผู้ปกครองในรัฐยะไข่มานาน “อิระวดี” สำนักข่าวของเมียนมาระบุว่า กองทัพอาระกันพยายามสร้างบทบาทขึ้นในยะไข่กว่า 9 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งด้วยสมาชิกเพียง 26 คน จนปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 7,000 คน และหลายปีที่ผ่านมากองทัพอาระกันมีความแข็งแกร่งขึ้น จากเงินสนับสนุนมหาศาล
นักวิเคราะห์ด้านกิจการชาติพันธุ์กล่าวว่า เงินต้นทางที่สนับสนุนกองทัพ AA สันนิษฐานว่า ส่วนหนึ่งมาจากกองทัพอิสระคะฉิ่น (KIA) และพันธมิตรของกองทัพสหรัฐอื่น ๆ ที่ชื่อว่า UWSA นอกจากนี้ยังมีชาวยะไข่จำนวนมากที่ทำงานในต่างประเทศ
สัญญาณความรุนแรงก่อให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเมียนมา โดยนักวิเคราะห์หลายราย รวมทั้งบริษัท Herzfeld Rubin Meyer & Rose (HRMR) บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายของสหรัฐอเมริกาแห่งแรกในย่างกุ้งระบุว่า ปัญหาภายในของเมียนมาไม่ได้กระทบแค่เพียงภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ลามไปถึงความเชื่อมั่นด้านการลงทุนด้วย
นายอีริก โรส ผู้อำนวยการของ HRMR กล่าวว่า เป็นทิศทางที่ดีที่เห็นว่ารัฐบาลซู จี พยายามปรับปรุงและผ่อนคลายกฎการลงทุน เช่น ปรับการถือครองหุ้นเป็น 100% ในบางธุรกิจ ได้แก่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือ
ผ่อนคลายให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 35-100% ในธุรกิจค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม การเพิกเฉยต่อคำเรียกร้องของนานาชาติให้แก้ไขสถานการณ์ เป็นเหตุผลที่ทำให้หลายบริษัทต่างชาติต้องปิดตัวลง เช่นเดียวกับ HRMR เพราะไม่มีนักลงทุนตะวันตกกล้าเสี่ยงที่จะเข้าไปทำธุรกิจ ขณะเดียวกันบริษัทอเมริกันบางรายไม่เชื่อมั่นว่าเมียนมาจะกลายเป็นประเทศประชาธิปไตยได้
ด้านกระทรวงการค้าการลงทุนย้ำว่า เมียนมาจำเป็นต้องยุติความรุนแรงโดยเร็วที่สุด เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่การล้างบางกลุ่มติดอาวุธในรัฐยะไข่ ซึ่งขณะนี้มีกำลังและแข็งแกร่งขึ้นมาก อาจกลายเป็นการเพิ่มรัศมีความรุนแรงให้กว้างขึ้น ขณะที่ นายซีน เทิร์นแนล ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจพิเศษของ ซู จี กล่าวว่า ในอดีตก่อนจะมีปัญหาความขัดแย้งในรัฐยะไข่ นักลงทุนที่มีบทบาทมากในเมียนมาก็คือ “เอเชีย สหรัฐ และยุโรป” แต่ปัจจุบันการลงทุนลดลงเรื่อย ๆ มีเพียงแต่การลงทุนจากประเทศเอเชียเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ นายทัน ซอ นักเศรษฐศาสตร์ของเมียนมา กล่าวว่า ผลกระทบในระยะยาวไม่เพียงแค่จะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจเมียนมาเท่านั้น แต่อาจกระทบไปถึงกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง หรือ CLMVT ที่ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย เพราะเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่นานาประเทศตัดสินใจเข้ามาลงทุนก็เพื่อใช้ประโยชน์จากเส้นทางขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างกัน
หากประเทศใดประเทศหนึ่งมีปัญหา อาทิ ปัญหาที่เกิดจากการเมือง ความขัดแย้ง ก็มีส่วนทำให้ประเทศร่วมภูมิภาคใกล้เคียงมีความน่าสนใจลดน้อยลงได้
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!