ในที่สุด “ฮานอย” ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่สำคัญแห่งประวัติศาสตร์ของการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ระหว่างประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” กับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ “คิม จอง อึน” ในระหว่างวันที่ 27-28 ก.พ.นี้ ว่าด้วยเรื่องการโน้มน้าวเกาหลีเหนือให้ล้มเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว กล่าวกับ “ซีเอ็นเอ็น” ว่าเวียดนามถูกเลือกเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้งสหรัฐและเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ซีเอ็นเอ็นมองว่า ทั้งเวียดนามและเกาหลีเหนือต่างก็เคยติดหล่มสงครามกับสหรัฐในยุคสงครามเย็น ทว่าเวียดนามสามารถฟื้นตัวจากสงครามครั้งนั้นได้ เห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดด ซึ่งมองว่าผู้นำสหรัฐส่งสัญญาณว่า เวียดนามจะเป็นโมเดลที่ดีให้กับเกาหลีเหนือได้ หากสามารถปลดล็อกความขัดแย้งต่าง ๆ กับสหรัฐ โดยสัปดาห์ก่อน ผู้นำทรัมป์ทวีตข้อความชมเกาหลีเหนือว่า “ภายใต้ผู้นำของคิม จอง อึน มีสิทธิที่จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกได้ไม่ยาก”
ขณะที่ “เวียดนามนิวส์” รายงานอ้างคำกล่าวของประธานสมาคมการค้าและอุตสาหกรรมในกรุงฮานอย กล่าวว่า เศรษฐกิจของเวียดนามในปีนี้จะเติบโตอย่างน่าทึ่ง และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเวียดนามจะบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกภายในปี 2030 หรืออย่างช้าคือภายในปี 2050 ที่สำคัญที่สุดคือ เศรษฐกิจเวียดนามรุดหน้ามาก เมื่อเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน
โดยระบุว่า การเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งประวัติศาสตร์นี้ นอกจากจะเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวของเวียดนามแล้ว ยังกระตุ้นการค้าลงทุนจากต่างชาติให้หลั่งไหลเข้ามาได้มากขึ้น นอกจากนี้เป็นการย้ำบทบาทในเวทีโลกด้านความปลอดภัย ศักยภาพในการเป็นเจ้าภาพในเวทีระดับโลก
จากปี 2017 “ดานัง” เมืองท่าสำคัญของเวียดนาม ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก
นายเมอร์เรย์ ไฮเบิร์ต นักวิเคราะห์จากศูนย์ศึกษาด้านนโยบายนานาชาติในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเวียดนามถูกพัฒนาให้ข้ามจุดที่เคยมีความขัดแย้งในอดีต ส่วนความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ เรียกว่าอยู่ใน “ระดับสูง” เพราะเวียดนามเป็นเพียงไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่เกาหลีเหนือได้จัดตั้งสถานทูตในต่างประเทศ