“ไทย” ยกให้เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีการขนส่งสินค้า “เร็วที่สุด” ในอาเซียน 2.5 วัน

REUTERS/Kham

“การขนส่ง” มีส่วนสำคัญในการช่วยเสริมศักยภาพให้กับ “ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ” ขณะที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นไปอย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับผลสำรวจของ Google&Temasek ที่ว่าในปี 2025 มูลค่าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะแตะระดับ 240 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่งานวิจัยของ iPrice บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติมาเลเซีย ที่ระบุว่า เทรนด์สายงานอีคอมเมิร์ซในอาเซียน พบว่า มีอัตราการจ้างงานในสายอาชีพนี้เพิ่มมากขึ้นถึง 40.7% ระหว่างปี 2016-2018

ทั้งนี้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ปัจจัยที่ใช้ดึงดูดผู้ซื้อได้มากที่สุด ก็คือ การแข่งขันและคุณภาพในเรื่องการขนส่ง โดยกระบวนการจัดส่งจะต้องจับต้องได้ รายงานทุกการเคลื่อนไหวของสินค้า เริ่มตั้งแต่การรับออเดอร์เข้าระบบ การสั่งจ่าย การส่งไปที่ตัวแทน และสินค้าถึงคลังก่อนจัดส่งไปที่ปลายทาง เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ iPrice จึงจับมือกับ Parcel Perform ผู้นำด้านซอฟต์แวร์ในด้านการเช็คสถานะสินค้าให้กับบริษัทขนส่งสินค้า ที่เชื่อมโยงกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากกว่า 600 รายทั่วโลก เพื่อเผยความพึงพอใจของลูกค้าอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียน โดยมีข้อมูลผลสำรวจมาจากลูกค้า 80,000 คน จากทั้งประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และไทย

ผลการสำรวจระบุว่า ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ราว 34% ของผู้บริโภคทั้งหมด ยังมองว่าการจัดส่งพัสดุยังคงเป็น “จุดด้อยที่สุด” สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน นอกจากนี้ กว่า 90% ของผู้บริโภคทั้งภูมิภาค ตำหนิและเรียกร้องการปรับปรุงเกี่ยวกับการจัดส่งที่ล่าช้า รวมไปถึงการสื่อสาร และการติดตามพัสดุ

ขณะที่ บทความของ iPrice ยังระบุด้วยว่า การตื่นตัวในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าในด้านความคาดคะเนระยะเวลาการขนส่งสินค้า และสามารถดำเนินการได้ตามกำหนดเวลาจะเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการเพิ่มคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าได้

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ พบว่าลูกค้าอีคอมเมิร์ซใน สิงค์โปร์ ไทย และเวียดนาม ค่อนข้างได้รับความพึงพอใจกับกระบวนการจัดส่งสินค้ามากกว่าลูกค้าอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย และมาเลเซีย

ทั้งนี้ บทความของ iPrice ได้ระบุด้วยว่า Arne Jeroschewski ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Parcel Perform ได้กล่าวว่า “ในการจัดส่งทุกครั้ง ลูกค้าจะให้คะแนนความพึงพอใจสำหรับกระบวนการจัดส่งพัสดุ ที่ 4.6 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 ถือเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเราได้มีการปรับปรุงระบบการขนส่งอยู่เสมอเมื่อได้รับการร้องเรียนจากลูกค้า และเรายังพบว่าลูกค้าเดิมมักกลับมาใช้บริการโดยมีมูลค่าของการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้นถึง 40% อีกด้วย”

ขณะที่ Jeremy Chew หัวหน้าฝ่ายดูแลการตลาด iPrice Group กล่าวถึงการขยายตัวของร้านค้าอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน ระบุว่า นักช้อปในอาเซียน ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่เข้าใจ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งซื้อสินค้าอยู่เสมอ เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าที่มีราคาถูกกว่าร้านค้าอื่นๆ โดยใช้การเปรียบเทียบข้ามแพลตฟอร์ม รวมไปถึงเปรียบเทียบกระบวนการจัดส่งที่รวดเร็ว เป็นปัจจัยหลักๆ ในการตัดสินใจ

โดยไฮไลท์สำคัญในการสำรวจครั้งนี้ ยังระบุด้วยว่า “ไทย” เป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีระบบขนส่งสินค้าเร็วที่สุดเฉลี่ย 2.5 วัน  เทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างเช่น “มาเลเซีย” ที่ใช้ระยะเวลาขนส่งสินค้านานที่สุดโดยเฉลี่ย 5.8 วัน และ “เวียดนาม” ระยะขนส่งอยู่ที่ 5.6 วัน เทียบกับระยะเวลาขนส่งโดยเฉลี่ยทั่วทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่ 3.8 วัน

ขณะที่ “อินโดนีเซีย” ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาขนส่งสินค้ากลับอยู่ในมาตรฐานคือ 3.8 วัน ถือเป็นผลสำรวจที่น่าสนใจ เพราะด้วยความที่ภูมิประเทศของอินโดนีเซียนั้นประกอบไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ยังมีการจราจรที่ติดขัดมากที่สุดในภูมิภาคด้วย เทียบกับระยะเวลาการขนส่งสินค้าใน “สิงคโปร์” ซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็กมากที่สุดในภูมิภาค แต่กลับมีระยะเวลาขนส่งสินค้าเฉลี่ยถึง 3.3 วัน ซึ่งห่างกันเพียงเล็กน้อย