“One Belt, One Road” กับโอกาสของอาเซียน

“เชื่อใจ-เข้าใจความต่าง” หนึ่งในเมกะโปรเจ็กต์ระดับประวัติศาสตร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดทั่วโลกช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น “One Belt, One Road” หรือเส้นทางสายไหมใหม่ มีจุดมุ่งหมายในการเชื่อมต่อ (Connecting) 3 ภูมิภาค ได้แก่ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนจากนโยบายเสาหลักต่าง ๆ ของโลกถูกท้าทายอย่างหนักและเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ธนาคารยูโอบี จัดสัมมนาภายใต้หัวข้อ “One Belt, One Road และโอกาสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เพื่อพูดคุยถึงความสำคัญของโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ จุดยืนและการปรับตัวของอาเซียนและไทย ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่ควรตั้งรับแต่เนิ่น ๆ

One Belt One Road ?

นอกจากจะเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่จีนใส่เงินลงทุนกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ “ลีน่า อึ้ง” หัวหน้าสายงานลงทุนบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า One Belt, One Road เส้นทางสายไหมใหม่ เมื่อเทียบกับเส้นทางสายไหมดั้งเดิมของจีนนั้น จะเห็นได้ว่าคำว่า Belt คือเส้นทางเดียวกับเส้นทางสายไหมเก่า ที่จะเชื่อมต่อแต่ละประเทศเข้าด้วยกันซึ่งสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เพียงการเชื่อมต่อเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวและเดินทางของผู้คนเท่านั้น แต่คือเส้นทางการค้าและเศรษฐกิจ ที่จะดึงเงินลงทุนต่างชาติและการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้

ซึ่งอาเซียนในฐานะที่รวมตัวกันเป็นประชาคม หน้าที่สำคัญที่จะตอบรับกับนโยบายยักษ์ของจีนได้ดีที่สุด คือการรวมตัวกันเป็น “ตลาดเดียว” ซึ่งจะเพิ่มอำนาจการต่อรองได้มาก และมากไปกว่านั้นในฐานะตลาดเดียว อาเซียนจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้อย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่ “เชีย คิม ฮวด” ผู้จัดการองค์กรระดับภูมิภาค Rajah & Tann Singapore ระบุว่า โครงการนี้ไม่ใช่แค่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นเหมือนการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมต่อกันในทุกประเทศ และเป็นกระบวนการสร้างความเป็นเมือง (Urbanization) ให้เกิดขึ้นในทุกประเทศที่โครงการนี้ตัดผ่านประเทศที่อยู่ในเส้นทางจะได้รับอานิสงส์ ทั้งในเรื่องการค้าไหลเวียน งานที่เพิ่มมากขึ้น อำนาจที่มากขึ้น

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ ปัจจุบัน จีนมีการพัฒนาด้านดิจิทัลอย่างกว้างขวาง จะเห็นได้ว่าจีนกลายเป็นสังคมไร้เงินสด (Cashlesssociety) อย่างชัดเจน ซึ่งการส่งเสริมและผลักดัน  ของจีนนั้น น่าจะสร้างประโยชน์แก่ประเทศที่มีส่วนร่วมใน One Belt, One Road ได้อีกมาก

ต้องทำอย่างไรจึงไม่ตกขบวน

ADVERTISMENT

สำหรับประเทศไทยแม้จะไม่ได้อยู่ในเส้นทางสายไหมใหม่ แต่เส้นทางทางทะเลก็เฉียดใกล้ไทย ผ่านเมืองท่าฮานอยของเวียดนาม ต่อมายังมาเลเซียและอินโดนีเซีย ไปยังศรีลังกา อินเดีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเข้าสู่ทวีปยุโรป

อย่างไรก็ตาม จีนได้มีการจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจรองรับการเติบโตอีก 6 จุด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถไฟความเร็วสูง SKRL ซึ่งเชื่อมเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนานของจีน สู่สิงคโปร์ โดยตัดผ่านไทยและมาเลเซีย

“เชีย คิม ฮวด” ให้ความเห็นว่า ไทยอยู่ในยุทธศาสตร์ที่ดีมาก แต่สิ่งที่ไทยยังขาดก็คือ “มัลติโมเดลทรานสปอร์ตเทชั่น” คือการเชื่อมต่อการคมนาคมทางพื้นดิน ทะเล อากาศ และรถไฟ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งการเชื่อมต่อดังกล่าวจะทำให้การขนส่งสินค้าไปไกล ๆ เช่นยุโป เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไทยจึงต้องคิดว่าจะเชื่อมโยงคมนาคมในประเทศอย่างไร

นอกจากนี้ประเทศไทยต้องมองเรื่องการสร้างและพัฒนาธุรกิจแบบหลากหลาย คือไม่จำเป็นต้องไปสู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แต่ให้เน้นจุดแข็งของตัวเอง คือเรื่องของอาหาร โดยเฉพาะข้าว ซึ่งไทยอาจฉวยเอาโอกาสตรงนี้ในการผลิตข้าวและส่งไปยังประเทศอื่น ซัพพอร์ตด้านอาหารแก่แรงงานประเทศอื่น

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการพัฒนาโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นนี้ แม้ว่าจะสร้างความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค แต่ก็มีหลายเรื่องที่ต้องกังวลอยู่เช่นกัน หนึ่งในประเด็นสำคัญคือเรื่องความแตกต่างทางชาติพันธุ์ และความไว้เนื้อเชื่อใจของแต่ละประเทศ เพราะเมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม หมายถึงการทำงานร่วมกันของทุกประเทศที่มีส่วนร่วม

“สิ่งสำคัญในการทำงานกับต่างชาติ คือเรื่องของความเข้าใจด้านวัฒนธรรมที่แตกต่าง อย่างในอาเซียน สิ่งที่เห็นชัดคือเรื่องของภาษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องใส่ใจให้มาก ๆ คือเรื่องความเข้าใจด้านวัฒนธรรม ต้องใส่ใจอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่ทำได้หรือทำไม่ได้ ซึ่งถ้าคุณสามารถเข้าใจความแตกต่างดังกล่าวได้แล้วนั้น อาเซียนก็จะสามารถประสบความสำเร็จในโปรเจ็กต์ยักษ์ One Belt, One Road ได้อย่างแน่นอน” ลีน่า อึ้ง ให้ความคิดเห็น

ด้าน “เท วุน เต็ก” กรรมการผู้จัดการที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง บริษัทตรวจสอบบัญชี RSM Global มองว่า One Belt, One Road เป็นเหมือนกับการนำผู้คนมาเชื่อมโยงกันและทำงานร่วมกันสิ่งที่สำคัญคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน

“เราต้องสร้างความเชื่อใจระหว่างประเทศ เมื่อเชื่อใจแล้ว เราจะสามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้นไปด้วยกัน โครงการนี้ไม่ใช่การลงทุนของจีนแต่ฝ่ายเดียว แต่ต้องเป็นการลงทุนที่ทุกประเทศต้องการเห็นโลกนี้ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน”