ทางการสหรัฐ ประกาศห้ามชาวกัมพูชาที่เข้าข่ายมีพฤติกรรม “บ่อนทำลายประชาธิปไตย” เดินทางเข้าประเทศ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลของนายฮุน เซน ยุติการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ มีมาตรการสั่งห้ามบุคคลชาวกัมพูชา “คนใดก็ตาม” ที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยในกัมพูชาเข้าประเทศ และในบางกรณีอาจร่วมถึงครอบครัวและญาติที่จะต้องถูกจำกัดในการขอวีซ่าด้วย หลังก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวได้ระงับงบประมาณสนับสนุนคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของกัมพูชาไปแล้ว
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นบุคคลใดในกัมพูชา หรือจะรวมนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ด้วยหรือไม่ เพียงแถลงว่ากระบวนการออกวีซ่าถือเป็นความลับทางราชการ
สำหรับมาตรการของสหรัฐดังกล่าว ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชา ภายหลัง ศาลฎีกากัมพูชาพิพากษาให้ยุบพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน เมื่อเดือนที่แล้ว พร้อมตัดสิทธินักการเมืองกว่า 118 คน ในข้อกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้านพยายามโค่นล้มรัฐบาล อีกทั้งยังจับกุมตัวนายกึม ซกคาหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านในข้อหากบฎเมื่อเดือนกันยายน รวมทั้งยังสั่งปิดสื่อสิ่งพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาล
โดยวานนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพิ่งประกาศเตรียมดำเนินดคีทางกฎหมายข้อหาใหม่กับนายสม รังสี อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ฐานเป็นกบฏด้วยการยุยงปลุกปั่นกองทัพให้ขัดคำสั่งของรัฐบาล
ทั้งนี้ นายฮุน เซน เปิดเผยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาว่า การคว่ำบาตรของกลุ่มชาติตะวันตกไม่ได้ทำให้เขาวิตกกังวล เพราะเขาไม่มีทรัพย์สินในต่างแดน และเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเหยียบแผ่นดินอเมริกา
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวของสหรัฐ เคยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชา เพิกถอนข้อบังคับทั้งมหดที่ใช้กับพรรคซีเอ็นอาร์พี รวมถึงปล่อยตัวนายกึม ซกคา หัวหน้าพรรคซึ่งถูกจับกุมเเละเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านเเละภาคประชาสังคม เคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างถูกกฎหมาย ขณะเดียวกัน สหรัฐขู่ว่าอาจใช้ “มาตรการที่เข้มงวด” ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกัมพูชา เเละเริ่มส่งสัญญาณเตือนเป็นนัยแล้วว่าจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเดือนก.ค.ปีหน้า
