ในเดือน ส.ค.ปี ค.ศ. 1947 อังกฤษได้มอบเอกราชให้แก่อินเดีย
ดินแดนที่อังกฤษเคยปกครองได้ถูกแบ่งออกเป็นอินเดีย และประเทศใหม่อย่าง ปากีสถาน (ในเวลาต่อมา ดินแดนปากีสถานตะวันออก ได้แยกตัวออกไปเป็นบังกลาเทศ)
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
การแบ่งแยกประเทศดังกล่าวได้จุดชนวนความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีผู้ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด 15 ล้านคน และประเมินว่ามีผู้สูญเสียชีวิตไปถึง 1 ล้านคน
นอกจากนี้ ยังทำให้อินเดียและปากีสถานกลายเป็นคู่ปรับกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทำไมจึงเกิดการแบ่งแยกอินเดีย
ในปี 1946 อังกฤษประกาศว่าจะมอบเอกราชให้แก่อินเดีย เพราะไม่สามารถบริหารจัดการประเทศได้อีกต่อไป และต้องการถอนตัวออกไปโดยเร็วที่สุด
ลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบตเทน อุปราชคนสุดท้ายของอินเดียได้กำหนดให้การส่งมอบเอกราชมีขึ้นในวันที่ 15 ส.ค. 1947
ในขณะนั้น อินเดียมีประชากรที่เป็นชาวมุสลิมอยู่ราว 25% โดยที่ประชากรที่เหลือส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู นอกจากนี้ยังมีชาวซิกข์ ชาวพุทธ และชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอื่น
ศาสตราจารย์ นาฟตีจ เพียววาล นักวิชาการจากสภาวิจัยศิลปศาสตร์ และมนุษยศาสตร์แห่งอินเดียอธิบายว่า “อังกฤษใช้ศาสนาเป็นตัวแบ่งแยกผู้คนในอินเดียออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ”
“ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งระดับท้องถิ่นออกเป็นกลุ่มชาวมุสลิมและฮินดู เพราะมีการกำหนดสัดส่วนที่นั่งในสภาของนักการเมืองมุสลิมและนักการเมืองฮินดูเอาไว้ ศาสนาได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งทางการเมือง” เธอกล่าว
ดร.แกเรธ ไพรซ นักวิจัยจากสถาบันศึกษานโยบายต่างประเทศ แชตธัม เฮาส์ (Chatham House) ในสหราชอาณาจักร ระบุว่า “ตอนที่ดูเหมือนว่าอินเดียจะได้รับเอกราช ชาวอินเดียมุสลิมหลายคนเกิดความวิกตกเรื่องการต้องอยู่ในประเทศที่ปกครองโดยคนฮินดูที่เป็นประชากรหมู่มาก”
“พวกเขาคิดว่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง…พวกเขาจึงเริ่มสนับสนุนผู้นำการเมืองที่รณรงค์ให้แบ่งแยกประเทศของชาวมุสลิมออกมาต่างหาก” เขาเล่า
มหาตมะ คานธี และชวาหะร์ลาล เนห์รู แกนนำขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ระบุว่า พวกเขาต้องการอินเดียที่เป็นประเทศหนึ่งเดียว ซึ่งโอบรับคนทุกศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ แกนนำกลุ่มสันนิบาตมุสลิมแห่งอินเดีย (All-India Muslim League) เรียกร้องให้การแยกประเทศเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงคืนเอกราชให้อินเดีย
ดร.ไพรซ ชี้ว่า “การจะบรรลุข้อตกลงที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับหลักการอินเดียหนึ่งเดียวนั้นจะต้องใช้เวลานาน”
“การแบ่งแยกประเทศจึงดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ง่ายและรวดเร็ว” เขากล่าว
ประชาชนเดือดร้อนแค่ไหนจากการแบ่งประเทศ
เส้นพรมแดนใหม่ที่แบ่งแยกอินเดียและปากีสถานออกจากกัน เขียนขึ้นโดย เซอร์ ซีริล แรดคลิฟฟ์ ข้าราชการพลเรือนชาวอังกฤษ
เขาแบ่งอนุทวีปอินเดีย (Indian sub-continent) อย่างคร่าว ๆ ออกเป็นส่วนภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งมีชาวฮินดูเป็นประชากรส่วนใหญ่ ขณะที่พี้นที่อีกสองส่วนทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นเขตที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นมีชุมชนชาวฮินดูและมุสลิมอาศัยอยู่รวมกันทั่วทุกพื้นที่ของบริติชอินเดีย นี่จึงทำให้หลังจากการแบ่งประเทศ มีประชาชนราว 15 ล้านคนต้องโยกย้ายถิ่นฐาน และเดินทางไกลเพื่อข้ามพรมแดนที่เพิ่งมีการกำหนดขึ้นมาใหม่
ผู้คนจำนวนมากต้องละทิ้งบ้านของตัวเองเพื่อหลบหนีสถานการณ์รุนแรงที่ปะทุขึ้น ตัวอย่างแรกของกรณีที่ว่านี้คือ การสังหารที่กัลกัตตา (Calcutta Killing) ในปี 1946 ซึ่งคาดว่ามีผู้สังเวยชีวิตไปราว 2,000 คน
ดร.แอเลเนอร์ นิวบิกิน ผู้บรรยายอาวุโสด้านประวัติศาสตร์เอเชียใต้แห่งโซแอส มหาวิทยาลัยลอนดอน ระบุว่า “กลุ่มสันนิบาตมุสลิมได้ตั้งกลุ่มติดอาวุธ เช่นเดียวกับกลุ่มฮินดูฝ่ายขวา”
“กลุ่มก่อการร้ายจะขับไล่ผู้คนออกจากหมู่บ้าน เพื่อให้ฝ่ายตนเองมีอำนาจการควบคุมได้มากขึ้น”
ประเมินกันว่าความไม่สงบที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คน 200,000 ถึง 1 ล้านคนถูกสังหารหรืออาจเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บในค่ายผู้ลี้ภัย
ขณะที่ผู้หญิงหลายหมื่นคนทั้งชาวฮินดูและมุสลิมตกเป็นเหยื่อการข่มขืน การลักพาตัว หรือการทำให้เสียโฉม
ผลสืบเนื่องจากการแบ่งประเทศ
นับตั้งแต่การแบ่งประเทศ อินเดียและปากีสถานก็มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงการปกครองดินแดนแคชเมียร์
ข้อพิพาทนี้ทำให้เกิดสงครามการสู้รบ 2 ครั้ง ในปี 1947-1948 และปี 1965 นอกจากนี้ยังมีการปะทะทางทหารในวิกฤตเมืองคาร์กิล ในแคชเมียร์ เมื่อปี 1999 โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าเมืองดังกล่าวเป็นของตน และปัจจุบันได้ปกครองพื้นที่กันคนละส่วน
นอกจากนี้ อินเดียยังสู้รบกับปากีสถานในปี 1971 หลังจากเข้าไปแทรกแซงและให้การสนับสนุนปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ) ทำสงครามประกาศเอกราชจากปากีสถาน
ปัจจุบันมีประชากรฮินดูอาศัยอยู่ในปากีสถานไม่ถึง 2%
ดร.ไพรซ บอกว่า “ปากีสถานได้กลายเป็นรัฐอิสลามมากขึ้นทุกที…ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประชากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นชาวมุสลิม แต่ก็ยังมีชาวฮินดูจำนวนเล็กน้อยเหลืออยู่ที่นี่ด้วย”
“ส่วนอินเดียก็กำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มชาวฮินดูที่มีแนวคิดชาตินิยมมากขึ้นทุกขณะ”
ดร.นิวบิกิน กล่าวว่า “มรดกที่สืบทอดมาจากการแบ่งแยกประเทศคือความเดือดร้อนทุกข์ยาก”
“มันได้สร้างประชากรทางศาสนากลุ่มใหญ่ที่ทรงอิทธิพลขึ้นในทั้งสองประเทศ ส่วนคนกลุ่มน้อยก็ยิ่งเล็กลงทุกขณะ และมีความเสี่ยงมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
ศาสตราจารย์ นาฟตีจ เพียววาล มองว่า การแบ่งแยกประเทศเป็นเรื่องที่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เธอระบุว่า “อาจมีความเป็นไปได้ที่จะก่อตั้งประเทศอินเดียให้เป็นรัฐเดี่ยวในปี 1947 โดยมันอาจมีลักษณะเป็นสหพันธรัฐแบบหลวม ๆ ซึ่งรวมถึงรัฐที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่”
“แต่คานธี และเนห์รู ยืนกรานว่าต้องการให้เป็นประเทศหนึ่งเดียวที่ปกครองจากส่วนกลาง พวกเขาไม่ได้พิจารณาว่าชาวมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อยจะอยู่ได้อย่างไรในประเทศแบบนั้น”
….
ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว