8 ปี ประยุทธ์ กับคดีที่ 4 ในศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของ ส.ส. ฝ่ายค้าน ที่ขอให้วินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้พิจารณา และมีคำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่

นี่ถือเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ. ประยุทธ์ คดีที่ 4 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นอีกครั้งที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณา แต่สำหรับการสั่งให้นายกฯ คนที่ 29 หยุดปฏิบัติหน้าที่ ใช้เสียงข้างมาก 5:4

คำร้องของ ส.ส. ฝ่ายค้านที่ยื่นผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งถึงสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ 22 ส.ค. ซึ่งเป็นการขอให้ตีความว่าความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์สิ้นสุดลง เนื่องจากดำรงตำแหน่งครบกำหนดเวลา ตามมาตรา 170 วรรคสาม และมาตรา 158 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งนี้ฝ่ายค้านมองว่า พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 นับจากได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ครั้งแรกเมื่อ 24 ส.ค. 2557

นอกจากนี้ฝ่ายค้านยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งตามมาตรา 82 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ พล.อ. ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

คำร้องของ ส.ส. ฝ่ายค้านเป็นคำร้องเดียวที่หลุดเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทยอย “ตีตก” คำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่ขอให้ทั้ง 2 องค์กรอิสระเป็นตัวกลางในการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นเดียวกัน

ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเมื่อ 17 ส.ค. ยุติเรื่องร้องเรียน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 37 (3) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่นตามมาตรา 37 (4) ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่อาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 23 (1) เสนอเรื่อง พร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้

เช่นเดียวกับ กกต. มีมติเมื่อ 22 ส.ค. ไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่าสมาชิกรัฐสภาได้ดำเนินการยื่นคำร้องผ่านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 แล้ว กกต. จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณา

CG

พล.อ. ประยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ ครั้งแรกเมื่อ 24 ส.ค. 2557 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ภายหลังก่อรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 และครั้งที่สอง เมื่อ 9 มิ.ย. 2562 ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ภายหลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562

ตลอดการทำหน้าที่นายกฯ สมัยที่ 2 ในช่วงเวลา 3 ปีเศษ พล.อ. ประยุทธ์ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากทั้งฝ่ายค้าน และนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนเจ้าของสมญาว่า “นักร้อง” ตั้งแต่เรื่องคำพูด ตำแหน่ง ยันบ้านพักอาศัย

บีบีซีไทยชวนย้อนดูผลการพิจารณา 3 คดีที่เกี่ยวข้องกับนายกฯ คนที่ 29 ซึ่งเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ผลปรากฏว่า ไม่ศาลสั่งยกคำร้อง ก็ตีความว่าไม่ผิดรัฐธรรมนูญด้วยมติ “เอกฉันท์” ทุกคดี

11 ก.ย. 2562 จบ “คดีถวายสัตย์ฯ”

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่า “ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรใดตามรัฐธรรมนูญ เพราะการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมืองของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์”

นายกฯ

ที่มาของภาพ, สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

คดีนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย กรณี พล.อ. ประยุทธ์นำ ครม. กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อ 16 ก.ค. 2562 ไม่ครบถ้วน เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 อันเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ร้องเรียนหรือไม่

สำหรับเจ้าของคำร้องดั้งเดิมคือ นายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ยื่นต่อผู้ตรวจฯ เพื่อขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนอาจขัดรัฐธรรมนูญ และมีผลทำให้การกระทำในเวลาต่อมาของรัฐบาล เช่น การตั้ง ครม. การแถลงนโยบาย การโยกย้ายข้าราชการเป็นโมฆะไปด้วย

เหตุการณ์ที่นำไปสู่การร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเกิดขึ้นในระหว่างที่ พล.อ. ประยุทธ์นำ ครม. รวม 36 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อ 16 ก.ค. 2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน

ถ้อยคำที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 คือ “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ทว่าในคลิปภาพและเสียงที่ปรากฏในข่าวพระราชสำนัก พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่ว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” อีกทั้งยังเติมคำว่า “ตลอดไป” เข้าไปในช่วงท้าย

18 ก.ย. 2562 หลุด “คดีเจ้าหน้าที่รัฐ”

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พล.อ. ประยุทธ์ไม่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกฯ เนื่องจากตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาจากการยึดอำนาจการปกครองประเทศ การแต่งตั้งหัวหน้า คสช. เป็นผลสืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจและเป็นการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ อีกทั้งไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหน่วยงานใด และมีอำนาจหน้าที่เป็นการเฉพาะชั่วคราวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นหัวหน้า คสช. จึงไม่มีสถานะ ตำแหน่งหน้าที่ หรือลักษณะงานทำนองเดียวกับหน่วยงานราชการ และไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ พล.อ. ประยุทธ์ จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (6) ประกอบมาตรา 98 (15) ของรัฐธรรมนูญ

“อาศัยเหตุผลดังกล่าว ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง (พล.อ. ประยุทธ์) จึงไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวเพราะเหตุที่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุ

คดีนี้ ส.ส. 7 พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นคำร้องผ่านประธานสภา ขอให้พิจารณาคุณสมบัติของ พล.อ. ประยุทธ์ว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ หรือไม่

2 ธ.ค. 2563 หลุด “คดีพักบ้านหลวง”

ศาลรธน.

ที่มาของภาพ, YOUTUBE/สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า พล.อ. ประยุทธ์ไม่ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกฯ จากกรณีพักอาศัยในบ้านพักข้าราชการทหารแม้เกษียณอายุไป 6 ปีแล้ว หรือที่รู้จักในชื่อ “คดีพักบ้านหลวง” เนื่องจากเป็นไปตามระเบียบภายในของกองทัพบก (ทบ.) ปี 2548 ความเป็นรัฐมนตรีไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) และมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 186 วรรคหนึ่ง และมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (3)

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุตอนหนึ่งว่า นายกฯ เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญของประเทศ นอกจากเป็นหัวหน้าของ ครม. ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ยังมีฐานะเป็นผู้นำของประเทศ ความปลอดภัยของนายกฯ รวมทั้งครอบครัวมีส่วนสำคัญ รัฐมีหน้าที่จัดการดูแลให้ความปลอดภัยแก่นายกฯ และครอบครัวตามความเหมาะสมแก่สภาพการณ์

“การจัดบ้านพักรับรองที่ปลอดภัย มีความเป็นส่วนตัว สร้างความพร้อมทั้งสุขภาพกายและจิตใจในการปฏิบัติภารกิจในการบริหารประเทศล้วนเป็นประโยชน์ส่วนรวม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐพึงจัดสรรให้มีที่พำนักแก่ผู้นำของประเทศขณะดำรงตำแหน่ง” ประธานศาลรัฐธรรมนูญกล่าว

…..

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว