วันนี้ (8 ก.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณากรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังทีมกฎหมายส่งเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อย
ยังไม่แน่ชัดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะประกาศคำวินิจฉัยเลยหรือไม่ หลังสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
แต่ปรากฏว่า หนึ่งวันก่อนการการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กลับมีเอกสารคำชี้แจงของ พล.อ. ประยุทธ์ ความยาว 23 หน้า ลงนามโดย พล.อ. ประยุทธ์ เอง เผยแพร่ออกมาในแวดวงสื่อมวลชน มีใจความสำคัญว่า พล.อ. ประยุทธ์ เป็น “นายกฯ ขาดตอน” จึงไม่ถือว่าดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี
เหตุผลสำคัญที่ชี้แจงในเอกสาร คือ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีจากการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2557 เป็นอันสิ้นสุดลง นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 ส่งผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ”ขาดตอน” เพราะการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้นั้น เป็นการดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่หลังการเลือกตั้งในปี 2562
ดังนั้น การเป็นนายกรัฐมนตรี หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้ จึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ตามบทเฉพาะกาล และได้ขาดตอนจากการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไปแล้ว
นายกฯ ขาดตอนยังไง
หากพิจารณาจากคำชี้แจง หมายความว่า พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในสถานะที่แตกต่างกัน ดังนี้
- การดำรงตำแหน่งครั้งที่ 1 ตั้งแต่ 20 ส.ค. 2557 ตามรัฐธรรมนูญ 2557
- การดำรงตำแหน่งเฉพาะกาล ตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 ตามรัฐธรรมนูญ 2560 บทเฉพาะกาล
- การดำรงตำแหน่งครั้งที่ 2 ตั้งแต่ 9 มิ.ย. 2562 ตามรัฐธรรมนูญ 2560
ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ วิเคราะห์ถึงประเด็น “นายกฯ ขาดตอน” ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์” ว่า ข้ออ้างของ พล.อ. ประยุทธ์ ไม่สมเหตุสมผล เพราะรัฐธรรมนูญปี 2557 กับ 2560 ไม่มีช่วงรอยต่อให้เกิดการ “ขาดตอน”
“ตามธรรมเนียมการบริหารราชการแผ่นดิน จะไม่มีการให้ขาดตอน”
“ถ้าขาดตอนหมายความว่า ณ จุดนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศชาติบ้านเมือง ขาดตอนขาดไปนานแค่ไหน จุดนั้นเป็นปัญหาเลย…ถ้ามีการลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ต่างประเทศอาจอ้างได้ว่า ช่วงนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ชอบ และไม่รักษาสัญญาได้”
เอกสารชี้แจง ประยุทธ์ หลุดหรือตั้งใจ
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมออนไลน์และสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจต่อเอกสารที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “ความเห็นเกี่ยวกับ มาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ลงนามนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน กรธ. ส่งถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญ
เอกสารยืนยันว่า การดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ต้องเริ่มนับตั้งแต่ปี 2560 ไม่ใช่ปี 2557 เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 และไม่อาจมีผลไปถึงการใด ๆ ที่ได้ดำเนินการมาโดยชอบก่อนที่รัฐธรรมนูญนี้บังคับใช้ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
ต่อมาวานนี้ (7 ก.ย.) มีการเผยแพร่เอกสารในวงสื่อมวลชนอีกครั้ง เป็นเอกสารชี้แจงข้อกล่าวหาของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ โดยรอบนี้ เผยแพร่ออกมาถึง 23 หน้า มีรายละเอียดสำคัญ 8 ข้อ คือ
1. นายกฯ ขาดตอน – ยืนยันว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี จากปี 2557 นั้น ไม่ถูกต้อง เนื่องจากตนเป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง ครั้งแรก ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ด้วย ซึ่งต่อมาเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ ตนก็ยังคงดำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 จนมีการเลือกตั้ง และได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผู้ร้องไม่อาจนำระยะเวลาการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกได้เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 สิ้นผลบังคับใช้ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ และการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาเป็นไปตามพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นอันสิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 ด้วยเช่นกัน การสิ้นสุดดังกล่าวส่งผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของตนครั้งแรก จึง ”ขาดตอน” จากวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ (6 เม.ย. 2560) จึงไม่อาจนับรวมระยะเวลา การเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก กับการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้ได้
ส่วนการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้นั้น เป็นการดำรงตำแหน่งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ หลังการเลือกตั้ง ในปี 2562 ดังนั้น การเป็นนายกรัฐมนตรี หลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้ จึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ตามบทเฉพาะกาล และได้ขาดตอนจากการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกไปแล้ว
2. วาระ 8 ปี หมายถึงนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น – การกำหนดระยะเวลา 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรค 4 เป็นการจำกัดสิทธิทางกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติโดยชัดแจ้งว่า หมายรวมถึงความเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญอื่น และโดยหลักตีความทางกฎหมายแล้ว หากรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ชัดเจน จะตีความในทางจำกัดสิทธิบุคคลไม่ได้ ซึ่งตรงกับแนวทาง ของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ ที่ตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2565 มาเพื่อพิจารณากรณีวาระ 8 ปีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีตำแหน่งเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 7 คน ได้แก่
- นายมีชัย ฤชุพันธุ์
- นายนรชิต สิงหเสนี
- นายธิติพันธ์ เชื้อบุญชัย
- นายประพันธ์ นัยโกวิท
- นายปกรณ์ นิลประพันธ์
- นายอัชพร จารุจินดา
- นายอุดม รัฐอมฤต
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาทั้ง 7 คน เห็นว่าบทบัญญัติ กำหนดวาระ 8 ปี ดังกล่าว หมายถึงนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น
3. คณะรัฐมนตรีที่อยู่ก่อน 2560 ถือเป็นรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 – ศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยถึงสถานะความเป็นรัฐมนตรี เมื่อปี 2562 และ 2561 เกี่ยวกับความเป็นรัฐมนตรีของ ว่า คณะรัฐมนตรี ที่อยู่ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2560 บังคับใช้ถือเป็นรัฐมนตรี นับจากวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ และต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560
4. พล.อ. ประยุทธ์ ซื่อสัตย์ สุจริต และจงรักภักดี – ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตน ไม่ขัดกับหลักมาตรฐานสากลและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะการจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้นำประเทศ ตามมาตรฐานสากล เป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรม ไม่ปล่อยให้ผู้มีอำนาจอยู่แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยาวนานเกินไป ไม่ปล่อยให้คนทุจริต มีอำนาจทำการทุจริตได้อย่างไม่มีข้อจำกัด และข้อกำหนดนี้มิใช่ทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าว ยังระบุคำชี้แจงของพล.อ. ประยุทธ์ ว่า ข้าพเจ้าสำนึกและปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตลอดมาด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตและด้วยความจงรักภักดี ด้วยสำนึกในหน้าที่และประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน สูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าเชื่อว่า สำนึกในการปฏิบัติหน้าที่และดำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยอันเป็นหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ไม่ใช่เฉพาะแต่ฉบับ 2560
5. บันทึกการประชุมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่ 500 – เมื่อปี 2561 ที่ระบุความเห็นของนายมีชัย ในฐานะประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ว่า สามารถนับรวมระยะเวลาก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ได้นั้น พบว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่บันทึกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงบทสนทนาของนายมีชัย กับนายสุพจน์ ไข่มุก เท่านั้น
6. ไม่เปิดบัญชีทรัพย์สินอ้างไม่ได้ – ข้ออ้างที่ระบุว่า ข้าพเจ้าไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ป.ป.ช. ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีมาต่อเนื่องนั้น ไม่สามารถนำมาพิจารณาเป็นเรื่องเดียวกันได้
7. ศาลรัฐธรรมนูญ ต้องตีความและใช้รัฐธรรมนูญ วินิจฉัยลักษณะและลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายไม่ใช่ตามข้อเท็จจริงรับรู้โดยทั่วไปของประชาชน เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เพราะการรับฟังข้อเท็จจริงที่รู้กันโดยทั่วไป เป็นหลักที่ใช้ในการฟังพยานหลักฐานของศาลเท่านั้น ไม่ใช่หลักกฎหมายที่ใช้ในการตีความกฎหมาย
8. ขอกล่าวโดยสรุปว่า การกล่าวหาว่า ตนดำรงตำแหน่งมาครบ 8 ปี ในวันที่ 24 ส.ค. 2565 เกิดจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของผู้ร้อง และขอย้ำว่า การนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่อาจนับ จากการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี 2557 ได้ เพราะความเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกของข้าพเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว และขาดตอนไปแล้ว นับจากวันที่ 6 เม.ย. 2560 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้
……
ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว