Confidence Man (คนหลอกลวง) : หนังสือใหม่แฉพฤติการณ์โดนัลด์ ทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์

ที่มาของภาพ, Getty Images

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เกือบไล่ลูกสาวของตัวเองออกจำแหน่ง และมักทิ้งเอกสารราชการลงชักโครกเป็นประจำ

รายละเอียดเหล่านี้และข้อมูลอื่นๆ ถูกเปิดเผยในหนังสือ Confidence Man (คนหลอกลวง) ของนักข่าวนิวยอร์กไทมส์ แม็กกี้ ฮาเบอร์แมน ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อ 4 ต.ค.

หนังสือเล่มนี้ติดตามนายทรัมป์ตั้งแต่สมัยเป็นนักธุรกิจในนครนิวยอร์กจนถึงชีวิตหลังตำแหน่งประธานาธิบดี รวบรวมข้อมูลมาจากการสัมภาษณ์แหล่งข่าวมากกว่า 200 ราย รวมทั้งกับอดีตทีมงานหลายคน และการสัมภาษณ์ตัวนายทรัมป์เองถึง 3 ครั้ง

อดีตประธานาธิบดีเขียนโจมตีนักเขียน ฮาเบอร์แมน บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเองว่าหนังสือเรื่องนี้นั้นมี “เรื่องราวที่สร้างขึ้นมากมายโดยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นศูนย์”

และนี่คือการเปิดเผย 8 ข้อมูลสำคัญในหนังสือ Confidence Man:

1) ทรัมป์ต้องการไล่ อิวังกา และ จาเร็ด คุชเนอร์

จากการพบกับหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว จอห์น เคลลี และที่ปรึกษาทำเนียบขาว ดอน แม็คกาห์น นักเขียนฮาเบอร์แมนเผยว่าทรัมป์เคยเกือบทวีตว่าลูกสาวของเขา อิวังกา และลูกเขย จาเร็ด คุชเนอร์ ซึ่งทั้งคู่เป็นผู้ช่วยอาวุโสของทำเนียบขาวกำลังจะออกจากตำแหน่ง

ทรัมป์ถูกเคลลีห้ามเอาไว้ ซึ่งแนะนำให้เขาคุยกับอิวังกาและคุชเนอร์ก่อนที่จะทวีตออกไป ทรัมป์ไม่เคยคุยกับพวกเขาในเรื่องนี้แต่ทั้งคู่ก็ยังอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยประจำทำเนียบขาวจนกระทั่งสิ้นสุดตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา

หนังสือเล่มนี้ยังเผยให้เห็นว่านายทรัมป์มักพูดถึงลูกเขยของเขาในแง่ลบ และครั้งหนึ่งเคยแสดงความคิดเห็นว่าคุชเนอร์ “พูดจาเหมือนเด็ก” หลังจากได้ยินคำปราศรัยในที่สาธารณะที่เขาให้ไว้ในปี 2017

นายทรัมป์ปฏิเสธว่าไม่เคยต้องการไล่อิวังกาและสามีของเธอแต่อย่างใด พร้อมบอกว่า “นิยายชัด ๆ ไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องนี้เลย”

2) ทรัมป์คิดอยากทิ้งระเบิดใส่โรงงานยาเสพติดในเม็กซิโก

ฮาเบอร์แมนเขียนว่า นายทรัมป์เสนอความเห็นหลายครั้ง ให้ไปทิ้งระเบิดถล่มโรงงานผลิตยาเสพติดในเม็กซิโก ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่ทำให้มาร์ค เอสเปอร์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ตกตะลึง

แนวความคิดนี้เกิดขึ้นจากบทสนทนาระหว่างนายทรัมป์กับ เบรตต์ จอร์วาร์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานบริการสาธารณสุขของสหรัฐฯ (US Public Health Service Commissioned Corps)

ในตอนนั้นนายจอร์วาร์เดินเข้าห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ในชุดเครื่องแบบตามกฎระเบียบสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และกล่าวกับนายทรัมป์ว่ามีโรงงานผลิตยาผิดกฎหมายในเม็กซิโกที่ควรได้รับการจัดการโดย “นำไปสู่เป้าหมาย” เพื่อหยุดสารผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้ามา

แต่ทรัมป์เข้าใจผิดว่านายจอวาร์เป็นทหาร นายทรัมป์จึงเสนอให้ระเบิดโรงงานยาเสพติดเหล่านั้น หลังจากนั้นทางทำเนียบขาวจึงขอให้นายจอร์วาร์หยุดสวมเครื่องแบบเมื่อมาพบประธานาธิบดี

3) ทรัมป์กลัวตายจากโควิด-19

เมื่อตอนที่ทรัมป์ล้มป่วยด้วยโควิด-19 เมื่อตุลาคม 2020 อาการของเขาแย่ลงขณะพำนักในทำเนีบยขาว และเขากลัวว่าจะตายด้วยโรคนี้

จนถึงจุดหนึ่ง โทนี่ ออร์นาโต รองเลขาธิการประธานาธิบดีเตือนทรัมป์ว่าหากสุขภาพของเขาแย่ลงไปอีก เขาจะต้องกำหนดขั้นตอนแผนรับมือ เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลจะดำเนินต่อไปได้วามกลัวนี้ยังคงมีอยู่แม้ว่านายทรัมป์จะพยายามหลายครั้งเพื่อลดการระบาดของไวรัส โดยเขากังวลว่าไวรัสจะส่งผลกระทบในทางลบต่อภาพลักษณ์และการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขา ฮาเบอร์แมนเขียนถึงการที่เขาขอให้ผู้ช่วยที่อยู่รอบ ตัวเขาถอดหน้ากากออก และเขาแนะนำให้ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แอนดรูว์ คูโอโมไม่พูดถึงไวรัสทางทีวี

“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต” นายทรัมป์กล่าวกับนายคูโอโม และเสริมว่า “นายกำลังสร้างปัญหา”

ทรัมป์

ที่มาของภาพ, Reuters

4) ทรัมป์พูดถึงทรัพย์สินของเขาขณะพบนายกฯ อังกฤษ

หนังสือของฮาเบอร์แมนบอกเล่าถึงรายละเอียดการพบปะหลายครั้งระหว่างนายทรัมป์และผู้นำโลก

หนึ่งในตัวอย่างคือการพบกันครั้งแรกกับนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร เทรีซา เมย์ ซึ่งนายทรัมป์พูดถึงการทำแท้งว่า “บางคนก็เป็นพวกสนับสนุนแนวคิดสนับสนุนชีวิต (pro-life) บางคนก็เป็นพวกสนับสนุนทางเลือก (pro-choice) แต่ลองนึกภาพว่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยรอยสักตัวข่มขืนลูกสาวของคุณและเธอท้องดูสิ”

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปถึงในไอร์แลนด์เหนือแทน เพื่อหารือถึงวิธีหยุดยั้งโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งไม่ให้ตั้งใกล้กับที่ดินของเขา

5) ทรัมป์ขอให้ทนายจูเลียนี “ทำทุกอย่าง” เพื่อจะล้มผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020

หลังจากเป็นที่แน่ชัดว่านายทรัมป์กำลังแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 ให้แก่ โจ ไบเดน เขาจึงโทรหา รูดี จูลิอานี อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กและทนายความส่วนตัวของเขา

“โอเค รูดี นายจัดการเลย เล่นใหญ่ได้เลย ทำอะไรก็ได้ที่นายต้องการ ฉันไม่สน” ทรัมป์กล่าว หลังจากที่โดนทนายความคนอื่น ๆ ปฏิเสธที่จะดำเนินการตามที่เขาร้องขอเพื่อคว่ำผลการเลือกตั้ง

“พวกทนายของฉันแย่มาก” เขากล่าวกับนายจูลิอานี ตามที่เขียนไว้ในหนังสือ นอกจากนี้เขายังตำหนิ แพต ซิโพโลน ที่ปรึกษาทำเนียบขาวบ่อยครั้ง

หนังสือเล่มนี้ยังเปิดเผยว่าในขณะนั้น นายทรัมป์หลงใหลในทฤษฎีสมคบคิดและบอกกับทนายความว่าเหล่าที่ปรึกษาของเขารู้สึกว่าถูกหลอก

6) ทรัมป์หาข้อแก้ตัวเรื่องภาษีในขณะที่อยู่บนเครื่องบิน

ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงในปี 2016 ทรัมป์ได้รับการข้อร้องจาก คอรีย์ เลวานดอฟสกี้ ผู้จัดการรณรงค์หาเสียงของเขา และโฮป ฮิกส์ โฆษก ระหว่างอยู่บนเครื่องบิน ให้จัดการเรื่องที่ทรัมป์ปฏิเสธจะเปิดเผยเอกสารการคืนภาษี ซึ่งเป็นประเด็นที่พวกเขามองว่าอาจเป็นปัญหาในศึกชิงทำเนียบขาวในครั้งนั้น

ฮาเบอร์แมนเขียนในหนังสือว่า นายทรัมป์ตอบด้วยการเอนหลังก่อนจะพูดสวนอย่างกะทันหันว่า “คุณก็รู้ว่าภาษีของผมอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ผมได้รับการตรวจสอบเสมอ” เขากล่าว

“ความหมายของผมก็คือ ผมสามารถพูดได้ว่า ‘ผมจะปล่อยเอกสาร[การจ่ายและคืนภาษี] เมื่อผมไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบ เพราะผมจะไม่ยอมอยู่ภายใต้การตรวจสอบ'”

นับตั้งแต่ยุคของริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนก็ได้แสดงรายการเสียภาษีด้วยความสมัครใจ ซึ่งจากการสืบสวนของนิวยอร์กไทมส์ในปี 2020 เปิดเผยว่านายทรัมป์จ่ายภาษีเงินได้ให้รัฐบาลกลาง 750 เหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 28,000 บาท) ในปีที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

7) ทรัมป์ทิ้งเอกสารลงชักโครกทำเนียบขาว

ในขณะที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งนั้น มีเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวพบว่าห้องน้ำเกิดการอุดตันจากกระดาษเอกสารเป็นระยะ ๆ และเชื่อว่าเขาทิ้งเอกสารพวกนั้นลงชักโครก

นอกจากนี้เขายังถูกกล่าวหาว่าฉีกทำลายเอกสาร ซึ่งถือว่าขัดต่อกฎหมาย Presidential Records Act ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยเอกสารที่สร้างหรือได้รับโดยประธานาธิบดีนั้นถือเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลสหรัฐฯ และจะถูกจัดการและดูแลโดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีสิ้นสุดลง

รายละเอียดถูกเปิดเผยท่ามกลางข้อกล่าวหาที่มากขึ้นเกี่ยวกับเอกสารที่หายไปจากทำเนียบขาวของนายทรัมป์โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งทรัมป์ยังต้องเผชิญกับการสอบสวนทางอาญาโดยกระทรวงยุติธรรมเรื่องการเก็บเอกสารของรัฐบาลภายในบ้านพักส่วนตัวที่มาร์-อา-ลาโกในรัฐฟลอริดาหลังจากออกจากตำแหน่ง

8) ทรัมป์คิดว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยเป็นพนักงานเสิร์ฟ

ในการประชุมรัฐสภาหลังเข้ารับตำแหน่งในปี 2017 ได้ไม่นาน ฮาเบอร์แมนเล่าว่านายทรัมป์ได้หันไปหากลุ่มเจ้าหน้าที่จากพรรคเดโมแครตที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และขอให้พวกเขาไปเอาคานาเป้ (อาหารคำเล็ก ๆ) เนื่องจากเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นพนักงานเสิร์ฟ

หนังสือนั้นระบุรายละเอียดกว่ากลุ่มเจ้าหน้าที่นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของวุฒิสมาชิก ชัค ชูเมอร์ และประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เปโลซี

นอกจากนี้ฮาเบอร์แมนยังมีการบันทึกประวัติถ้อยคำซึ่งแสดงถึงการเหยียดความหลากหลายทางเพศที่ถูกกล่าวโดยนายทรัมป์หลากหลายครั้ง

….

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว