ส.ต.อ. ปัญญา คำราบ : ทำไม “คนดี” ของญาติ จึงกลายเป็นมือสังหาร 36 คน

 

ทีมข่าวบีบีซีไทย

Thai News Pix

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

“ตั้งแต่มีหมู่บ้านนี้มา จนอายุเข้าวัยกลางคน ก็ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย” ญาติผู้เสียชีวิตคนหนึ่ง บอกกับบีบีซีไทยถึงความรู้สึกของเขา หลังอดีตตำรวจ ส.ต.อ. ปัญญา คำราบ ก่อเหตุกราดยิงผู้คนในพื้นที่ ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เมื่อ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา

จนถึงวันนี้ แนวกั้นเส้นสีเหลืองของตำรวจยังคงพาดผ่านแท่งไม้ที่ทำหน้าที่เสมือนประตูทางเข้าบ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งห้อมล้อมด้วยหญ้าที่ขึ้นสูง หน้าบ้านยังมีซากรถกระบะวีโก้ ที่แปรเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำจากการถูกเผา เป็นรถคันเดียวกับที่อดีตตำรวจวัย 34 ปีใช้เป็นพาหนะขับไปก่อเหตุฆาตกรรมหมู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู เมื่อ 6 ต.ค.

บ้านคอนกรีตชั้นเดียว สีบานเย็น มุงหลังคาสังกะสี ดูเงียบสงบ หน้าบ้านยังเห็นเค้าลางของชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ ทั้งเสื้อผ้าที่ตากไว้บนราวไม้ รถเด็กเล่นสีน้ำเงิน บนม้านั่งมีของเล่นและรองเท้าเด็กสีขาววางทิ้งไว้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หลัง ปัญญา ขับรถกลับมาบ้าน เผารถยนต์ของตนเอง แล้วยิงสังหารภรรยาและลูกเลี้ยง ก่อนยิงตัวเองเสียชีวิต

มีคำถามมากมายถึงแรงจูงใจการก่อโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของไทย และยิ่งสะเทือนจิตใจมากขึ้น เมื่อผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุเพียง 2-5 ขวบ ปริศนาถึงห้วงความคิดและการตัดสินใจผู้ก่อเหตุยิ่งน่าฉงนสงสัย เมื่อผลการตรวจสารเสพติดเบื้องต้น ไม่พบว่าผู้ก่อเหตุเสพสารเสพติดใด

Thai News Pix

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

บีบีซีไทยรวบรวมข้อมูลสาธารณะ และพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องกับผู้ตาย เพื่อพยายามทำความเข้าใจถึงมูลเหตุของโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิต 36 คน ไม่นับรวมผู้ก่อเหตุ

“เป็นคนเก็บตัว”​

เพื่อนบ้านของผู้ก่อเหตุ ซึ่งไม่ประสงค์เปิดเผยนาม ระบุว่าปัญญาเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว จะพบเห็นก็ต่อเมื่อขับรถสวนกันระหว่างใช้ถนนบ้างเล็กน้อย นอกจากนั้นก็จะใช้เวลาอยู่ในบ้านแทบทั้งวัน

“เฮาก็อยู่แบบคนอีสานอยู่นำกันนั่นล่ะ อยู่แบบบ้านพี่เมืองน้อง ไปมาหาสู่ปกติ แต่ว่าตานี่ เฮาค่อนข้างเก็บโต บ่ค่อยสุงสิงกับไผ” เพื่อนบ้านของผู้ก่อเหตุ เล่าให้บีบีซีไทยฟัง

ตำรวจสอบปากคำเพื่อนบ้านของ ส.ต.อ. ปัญญา คำราบ

ที่มาของภาพ, Reuters

เพื่อนบ้านของผู้ก่อเหตุเล่าเสริมว่าปัญญา เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน และจากที่เคยพูดคุยกัน อดีตตำรวจผู้นี้ก็สนทนาและยิ้มแย้มปกติ ไม่ได้แสดงอาการผิดแปลกแต่อย่างใด เพียงแต่มักจะชอบขับรถเร็ว และเขาไม่ได้ต้องการผูกมิตรกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้มีคนรู้จักตัวตนของเขาน้อยมาก

พู่วัน ผลแย้ม เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงเห็นตรงกันว่าปัญญาเป็นคนเงียบ “ไม่คุยกับเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านก็ไม่ค่อยไปคุยกับเขา”

“เขาจะอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาแบบนั้น…ถ้าเขาออกมาข้างนอก เขาก็ขี่รถยนต์ออกไป แล้วเขาก็มาอยู่กับครอบครัวเขา”

“คนดี” ที่ชื่อ “แมน”

ญาติซึ่งไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ กล่าวว่าเห็นปัญญามาตั้งแต่เด็ก เป็นคนร่าเริง ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นผู้ก่อเหตุ

“ตอนเกิดเหตุก็เห็นเขาโพสต์กันในเฟซ สักพักหลังจากนั้นก็เห็นส่งรูปหน้าคนทำ เราก็ตกใจ แมนน่ะหรือ เป็นไปได้ยังไง”

จากคำบอกเล่าของญาติ โดยพื้นฐานแล้ว ปัญญาเป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนในพื้นที่ ก็สอบติดนายสิบตำรวจ จากนั้นก็ไปคว้าปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 ได้ในที่สุด

“เขาก็เป็นคนอัธยาศัยดี อีกทั้งยังเป็นคนเรียนเก่งที่สุดในครอบครัว กลับมาบ้านก็ยกมือไหว้พ่อไหว้แม่ ยิ้มทักทาย คนรู้จักทุกคนก็บอกว่าเขาเป็นคนดี ตอนที่ได้ยินข่าว ก็เลยตกใจกันทุกคนว่าเป็นไปได้ไง”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ที่มาของภาพ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ด้านนายคมสันต์ นรบุตร อดีตสามีของนางคำพันธ์ จันทะกูล ภรรยาผู้ก่อเหตุ และพ่อของ ด.ช.วรภัทร ผู้เสียชีวิต บอกกับบีบีซีไทยว่า เขาได้เลิกรากับแม่ของ ด.ช.วรภัทรมาแล้วกว่า 2 ปี

แม่ขอให้ลูกย้ายมาเรียนที่ อ.นากลาง และส่วนตัวเขาเองก็เห็นว่าตำรวจคนนี้ “ดี” รักลูกของเขาดีก็เลยให้ย้ายมาได้เพียง 4 เดือน

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีสัญญาณเตือนอะไรหรือไม่เกี่ยวกับการก่อเหตุร้ายนี้ เขาตอบว่า ไม่มี

“เขาก็ดูรักแฟนและลูกของเขาดี” คมสันต์ บอก

ตำรวจ “พูดน้อย”

เมื่อ 9 ปีก่อน ปัญญา เริ่มต้นงานตำรวจที่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา สถานีข่าวไทยพีบีเอส อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ จ.ส.ต. ธานี ญาติโยม ผบ.หมู่สืบสวน สน.ยานนาวา อดีตเพื่อนร่วมงานว่า ผู้ก่อเหตุ “เป็นคนเรียนดี”

“สอบได้อันดับต้น ๆ เขาก็เลย ตอนแรกมาลงยานนาวา แรก ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาเป็นคนพูดน้อย ถามคำตอบคำ ถ้าไม่รู้จักใครก็ไม่พูดเลย การทำงานก็โอเคนะ มาอยู่ยานนาวาแรก ๆ ก็ทำงานสายตรวจ ก็ดี ไม่มีปัญหากับผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานก็ดี พูดคุยเฮฮาอะไร”

ส่วนเรื่องยาเสพติดนั้น “อันนี้ ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่มีนะ ไม่มีเลย ไม่ปรากฏว่าเสพยาเสพติด”

จากนั้น ในปี 2560 ส.ต.อ. ปัญญา ได้ย้ายสังกัดไปที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ย้ายออกจากสายงานสืบสวน และปี 2562 ย้ายกลับภูมิลำเนา จ.หนองบัวลำภู

สถานีตำรวจภูธรนาวัง เป็นสถานที่ทำงานสุดท้ายของผู้ก่อเหตุ แต่ผู้ร่วมงาน ระบุว่า มีพฤติกรรมแทบจะตรงกันข้ามกับสมัยเป็นตำรวจนครบาล หรือ “คนดี” ในสายตาของญาติ ๆ โดยผู้ก่อเหตุทำงานในตำแหน่ง ผู้หมู่งานป้องกันและปราบปราม หรือสายตรวจ มีบ้านพักอาศัยอยู่หลังสถานีตำรวจ

Reuters

ที่มาของภาพ, Reuters

เพื่อนร่วมงาน สภ.นาวัง เผยว่า ปัญญาชอบสังสรรค์แล้วมีเรื่องวิวาท

“กินเหล้าและมีเรื่อง เพื่อนตำรวจด้วยกันก็ไม่อยากคุย ไม่อยากหาปัญหามาใส่ใจ ปล่อยให้เขาอยู่ของเขา…เมาอาจจะก้าวร้าว เขาก็เลยไม่อยากสุงสิงด้วย”

ด้านอดีตตำรวจที่เกษียณอายุแล้ว ของ สภ.นาวัง เผยถึงลักษณะนิสัยของปัญญา ว่า

“ชอบเหม่อ แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำได้ขนาดนี้ ไม่มีใครคาดคิด ส่วนใหญ่ตำรวจที่ออกจากราชการ ไม่ว่าจะโดนวินัยร้ายแรงอะไร ก็แทบจะไม่มีนะที่ไปก่อเหตุร้ายแรงลักษณะนี้”

จากเพื่อนบ้าน สู่ มือสังหาร

“กูจะมาฆ่ามึง” นี่คือประโยคที่ ธีรพันธ์ ผิวสว่าง เพื่อนบ้านวัย 57 ปี ของปัญญา ไม่มีวันลืม

ธีรพันธ์ เผยถึงนาทีชีวิต ที่เขาหลบหนีคมกระสุนของปัญญา ได้ทันท่วงที แต่ อุดร บุตตะมะ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน กลับไม่โชคดีเช่นนั้น

อุดร วัย 63 ปี พื้นฐานเป็นคนอัธยาศัยดี ด้วยทั้งเคยเป็นอดีตสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ (อบต.) หลังจากสิ้นสุดวาระการทำงาน อบต. ก็ทำหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต่อไป และออกเยี่ยมเยือนทักทายเพื่อนบ้านเป็นประจำ จึงเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน

ธีรพันธ์ ผิวสว่าง เพื่อนบ้านวัย 57 ปี

ที่มาของภาพ, Narathon Netrakool / BBC Thai

อุดร วัย 63 ปี พื้นฐานเป็นคนอัธยาศัยดี

ที่มาของภาพ, Narathon Netrakool / BBC Thai

หลังก่อเหตุสังหารหมู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอุทัยสวรรค์ ปัญญาก็ขับรถกลับมาที่บ้าน แล้วเริ่มขับชนคนที่พบเจอตามถนน ทั้งลงไปยิงซ้ำ ขณะที่ชาวบ้านเริ่มได้ยินเสียงปืนดังขึ้นที่หน้าหมู่บ้าน และยังไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงเริ่มจับกลุ่มคุยกัน โดยธีรพันธ์ยืนสนทนากับอุดร พร้อมกับเพื่อนบ้านอีก 3 คน ทันใดนั้น ปัญญาก็ปรากฏกายขึ้น

BBC
BBC

ธีรพันธ์ เห็นปัญญาเดินถืออาวุธปืนมา ก็เห็นว่าท่าไม่ดี จึงเดินหลบออกไปทันที ขณะที่อุดรยืนหันหลัง ไม่ทันได้สังเกตเห็นปืน และด้วยความเป็นคนที่ทุกคนรัก จึงไม่ทันได้ระวังภัย เมื่อเห็นปัญญา เพื่อนบ้านคุ้นหน้าคุ้นตาเดินมา จึงทักทายตามปกติ

“เป็นจั่งใด๋​ ไปไสมา”

“กูจะมาฆ่ามึง” สิ้นเสียงตอบกลับ เสียงปืนก็ดังขึ้นทันที

นาทีชีวิตคนเป็นแม่

พู่วัน เพื่อนบ้านอีกคนของปัญญาเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นในอีกมุมว่า เธอและลูก ๆ เกือบจะ “ตายหมด”

“พี่เห็นคนร้ายมันเดินมานะ แต่มันไม่ได้วิ่งตาม (เด็ก) เพราะสองคนเขาวิ่งไปทางนี้ (ชี้ไปทางขวา) เขาวิ่งอ้อมรถ แล้ววิ่งไปหลังบ้าน ถ้าวิ่งเข้าข้างในบ้านคงตายหมด เพราะประตูนี้มันล็อกไม่ได้ ประตูบ้านเรามันล็อกไม่ดี ถ้าเข้าไปข้างในมีเด็กเล็กสอง เด็กใหญ่สอง และก็เรา ที่คงตายหมด”

เพื่อไม่ให้ลูก ๆ ส่งเสียงดังจนผู้ก่อเหตุรู้ตัว เธอต้องพูดกับลูกว่า “เขาฆ่าแต่เด็กนะ เขาไม่ฆ่าผู้ใหญ่” เพื่อให้ลูกกลัวและเงียบ ไม่กระดุกกระดิก เธอยอมรับว่า รู้สึกผิด เพราะลูก “เหมือนจะร้องไห้…เขากลัว”

พู่วัน ผลแย้ม เพื่อนบ้านอีกคนของ ส.ต.อ. ปัญญา

ที่มาของภาพ, Reuters

ผ่านมา 1 สัปดาห์ ทุกเสียงที่ดังขึ้น ยังตามหลอกหลอนเธออยู่

“คนเดินเสียงดังก็กลัว เวลาเรานอน เล่าเดี๋ยวนี้ก็ยังกลัวเลย ตอนเล่าก็ยังกลัว หวาดไปหมด ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปถนนก็กลัว เห็นรถคันสีขาวก็กลัว เพราะว่ามันโหดร้าย ขนาดไม่ได้เห็นแต่ได้ยิน ได้รู้เสียง เราก็กลัว เพราะว่ามันฆ่าแบบไม่มีเสียงอะไรเลย และร้องขอชีวิตกับมันก็ไม่ได้เลย ปัง ๆ หมดเลย”

“แรงจูงใจ” จากการสืบสวนของตำรวจ

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบายผลการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้นว่า หลังสืบข้อมูลไป พบว่า ผู้ก่อเหตุมีหนี้สินสะสม โดยเฉพาะหนี้ผ่อนรถกระบะคันที่ผู้ก่อเหตุเผาทิ้งที่หน้าบ้าน โดยยอดหนี้เหลืออยู่  3-4 แสนบาท เบื้องต้นตำรวจตั้งประเด็นว่า การเผารถอาจจะเชื่อมโยงกับความเครียดสะสมที่เกิดจากการต้องจ่ายค่างวดรถ ในช่วงที่มีปัญหาครอบครัวรุมเร้า และถูกไล่ออกจากราชการตำรวจ

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า ในช่วงที่ผู้ก่อเหตุ ถูกไล่ออกจากราชการตำรวจ เขาไม่มีเงินจนต้องไปรับจ้างตัดอ้อย ส่วนแนวทางการสอบสวนตอนนี้ จะเร่งสอบปากคำพยานทั้งหมด 180 ปาก ให้เสร็จภายใน 2 วัน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กำชับพนักงานสอบสวนว่าต้องสอบครั้งเดียวจบ ไม่สอบหลายครั้ง เพราะจะทำให้ญาติต้องคิดถึงเหตุที่กระทบจิตใจ

เมื่อถามถึงสาเหตุว่าทำไมต้องลงมือในศูนย์เด็กเล็ก ประเด็นนี้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ บอกว่า พฤติการณ์คนร้าย หลังกลับจากศาล มาบ้านแล้วไม่เจอภรรยากับลูก ก็คลุ้มคลั่ง ไล่ชน ไล่ยิงคนไปทั่ว ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เด็กอย่างเดียว และจากการสอบสวนเบื้องต้น ไม่พบความขัดแย้งระหว่างผู้ก่อเหตุ กับภายในที่ทำการ อบต.

ของเล่นของลูกเลี้ยงอดีตตำรวจผู้ก่อเหตุ

ที่มาของภาพ, AFP

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่ลูกชายผู้ก่อเหตุหยุดเรียนไป 1 เดือน อาจถูกเพื่อนแกล้งที่โรงเรียนแล้วเป็นปมทำให้มาก่อเหตุหรือไม่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า เด็กหยุดเรียนเพราะไม่สบาย ผู้ก่อเหตุเป็นห่วงลูกเลยให้หยุดไปก่อน ไม่มีเรื่องการบูลลี่ เพราะเด็กยังเล็ก

“เม็ดละ 7 บาทเองนะ”

แม้ไม่พบสารเสพติดในร่างของปัญญา แต่ตำรวจมองว่าความเครียดสะสม และปัญหาในครอบครัว เป็นตัวผลักให้เขาก่อเหตุ ทว่าประวัติเขาตามที่รายงานในสื่อคือเคยเสพยาบ้ามายาวนาน รวมถึงสาเหตุที่ถูกปลดออกจากราชการ ก็เพราะมียาเสพติดในครอบครอง ทำให้คนในพื้นที่ยังไม่ปักใจเชื่อว่า ยาเสพติดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตำบลอุทัยสวรรค์เอง ชาวบ้านบอกตรงกันว่ายาบ้าหาได้ทั่วไป

“แถวนี้บางบ้านติดยาทั้งพ่อทั้งลูก อีกอย่างเดี๋ยวนี้มันถูก เม็ดละ 7 บาทเองนะ” ชาวบ้านในตำบลอุทัยสวรรค์อีกรายหนึ่งเผย

"เม็ดละ 7 บาทเองนะ"

ที่มาของภาพ, Getty Images

ด้วยสภาพแวดล้อมของครอบครัวในพื้นที่ ต.อุทัยสวรรค์ หลายครอบครัวไม่มีพ่อแม่ดูแลบุตรหลาน เนื่องด้วยไปทำงานต่างถิ่น ส่วนใหญ่เด็กมักจะถูกทิ้งไว้กับปู่ย่า หรือตายาย เด็กจึงไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ทำให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่จำนวนมากตกสู่วังวนของยาเสพติด

“บางบ้านใกล้หนู ทั้งขายทั้งเสพ เสพกันเกือบทุกบ้าน วันดีคืนดีเป็นบ้าด่ากัน หนูล่ะอย่างกลัวเลย” ชาวบ้านอีกคนหนึ่ง บอกกับบีบีซีไทย แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ

ในชุมชนที่แทบทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตากัน หากวันไหนมีวัยรุ่นที่ไม่คุ้นหน้าวิ่งเข้าวิ่งออก ชาวบ้านจะสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า มาซื้อขายยาเสพติด ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รู้สึกไม่ปลอดภัย แม้จะอยู่ในบ้านตนเองก็ตาม

“ไปนาไปไร่บางทีก็ต้องรีบไปรีบกลับ ไปนาไม่เคยเกินครึ่งชั่วโมง อยู่นานไม่ได้ เห็นเด็กวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเราก็กลัว”​ ชาวบ้านเผย

ชาวบ้านหนึ่งในกลุ่มที่บีบีซีไทยได้พูดคุย มองว่า ต้นเหตุของปัญหาการค้ายาในพื้นที่ คือ “ไม่มีจะกิน” ดังนั้น เมื่อไม่มีหนทางทำกิน หลายคนจึงเลือกยาเสพติดเพื่อหาเลี้ยงชีพ

จุดเกิดโศกนาฏกรรมสลด ที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

ทั้งนี้ การจับกุมผู้เสพยาเสพติด มีจำนวนการจับกุมที่สูงถึง 58.64% เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ แต่การจับกุมตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีเพียง 0.8 คน ต่ออัตราประชากร 1 แสนคน ซึ่งถือว่าต่ำมาก

ดังนั้น อาจมองได้ว่า นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ขณะที่คนที่ถูกจับกุมในคดียาเสพติด กลับกลายเป็นว่า จากผู้เสพก็เปลี่ยนเป็นผู้ค้า ด้วยวังวนของเครือข่ายยาเสพติด ที่วนเวียนกันเข้าออกเรือนจำ

พวกเขายังบอกเพิ่มเติมอีกว่า ปัญหายาเสพติดในพื้นที่มีมานานแล้ว แต่สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงนัก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ระบาด ผู้คนจำนวนมากต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาจากการล็อกดาวน์ ปิดโรงงาน และเผชิญปัญหาไม่มีเงินใช้

ชาวบ้านอำลาเหยื่อเป็นครั้งสุดท้าย

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

“ส่วนหนึ่งที่เขาทำได้ขนาดนี้ ฆ่าคนตายได้ ก็คงเพราะยาเสพติดนี่แหละ ทำให้ระบบการคิดมันผิดเพี้ยนไปหมด…และหากไม่มีการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ก็คงแก้ปัญหาเกิดเหตุฆาตกรรมไม่ได้ มันก็คงไม่จบไม่สิ้น” เพื่อนบ้านของปัญญาสันนิษฐาน

เธอต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป แม้จะไม่ได้ต้องการผูกใจเจ็บแค้นกับผู้ก่อเหตุ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร

“เราได้เงินเยียวยามาอยู่บ้าง แต่มันก็เทียบไม่ได้กับความสูญเสียหรอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขา (ผู้เสียชีวิต) กลับมาจะดีกว่า”

ปืน : เหตุปัจจัยสร้างความรุนแรง

“ใครก็ว่ามันยิงปืนแม่น เห็นไปแข่งยิงปืนก็ได้ที่ 1” เพื่อนบ้านของปัญญาเล่าถึงทักษะการใช้ปืนของผู้ก่อเหตุ ที่เข้าข่ายเชี่ยวชาญ

ชวนพิศ แก้วทอง รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ เล่าว่า ในวันเกิดเหตุ อบต.อุทัยสวรรค์ กำลังจัดประชุม แต่ช่วงเวลาประมาณเที่ยงวัน มีเสียงดังคล้ายประทัดขึ้น แต่เธอไม่ได้ตระหนักว่ากำลังมีเหตุร้ายเกิดขึ้น

“ตอนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นหลายครั้ง ก็แอบสงสัยว่าใครมาเล่นประทัดในสถานที่ราชการ แต่ ผอ.กองช่าง บอกว่าใครมายิงปืนแถวนี้ พอสักพักก็รู้ว่ามีเหตุกราดยิงกัน ก็ไปหลบ ตอนนั้นงงและกลัวมาก”

แรงจูงใจคืออะไรกันแน่

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

ด้านตำรวจคนหนึ่งในพื้นที่ ยอมตอบสั้น ๆ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ตำรวจเราเอง เราก็ต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ เรามีปืนของเรา เราก็ต้องรู้ว่ามันต้องยิงยังไง ถึงจะแม่น จะเร็ว มันคือพื้นฐานของอาชีพเรา”

ประเทศไทยมีปืน 10 ล้านกระบอกโดยประมาณ ตามฐานข้อมูลนโยบายด้านปืนของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ หรือปืนหนึ่งกระบอกต่อประชากรทุก 7 คน

“มีความย้อนแย้งกับการเหมารวมว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้มและผู้คนใจดี…ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความรุนแรงมาก” จันจิรา สมบัติพูนศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านความรุนแรงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี

รัฐบาลควรอุดช่องโหว่กฎหมายปืน-ยาเสพติด

ด้าน รศ.พ.ต.ท.ดร. กฤษณพงค์ พูตระกูล นักอาชญาวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต เผยว่า ต้นเหตุทั้งหมด อาจเกิดจากความเครียดสะสม และไม่ได้รับคำปรึกษาด้านสุขภาพจิตเพียงพอ เมื่อมีอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครอง ทั้งยังได้รับการฝึกอบรมองค์ความรู้การใช้อาวุธจากภาครัฐ จึงเกิดเหตุน่าเศร้าเช่นนี้ขึ้น

กรณีที่ ส.ต.อ. ปัญญา กระทำการอุกฉกรรจ์เช่นนี้ได้ รศ.พ.ต.ท.ดร. กฤษณพงค์ ประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ระบุว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการใช้สารเสพติดเป็นระยะเวลายาวนาน จนส่งผลต่อระบบสมอง

“เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่มานานมาก ฟันก็จะเหลือง นอกจากนั้นเล็บก็จะออกเหลือง ๆ เช่นเดียวกับการเสพยาเสพติด ที่จะส่งผลเสียต่อระบบและทำให้วิธีการคิด และการตัดสินใจถูกลดทอนประสิทธิภาพลง”

ส่วนแนวโน้มของการเกิดเหตุกราดยิงซ้ำ รศ.พ.ต.ท.ดร. กฤษณพงค์ มองว่า มีความเป็นไปได้ ดังนั้นต่อไปควรจะต้องมีการตรวจสอบควบคุมอาวุธปืนให้มากขึ้น และรัฐบาลจะต้องมีมาตรการเฝ้าระวังเหตุกราดยิงที่เข้มข้นกว่าเดิมอีกเช่นกัน

บรรยากาศการฌาปนกิจศพเด็ก ๆ วันที่ 11 ต.ค. 2565

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

“ถือว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง ก็น่าชื่นชม ที่เลือกให้ ส.ต.อ. ปัญญา ออกจากราชการ แต่การจะปัดกวาดบ้านให้สะอาด ควรจะไม่ปัดไปเป็นปัญหาที่อื่นต่อ ควรจะมีถังขยะมารองรับ” ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิตกล่าว

“นอกจากนั้น ข้าราชการที่ได้รับใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน หากถูกให้ออกจากราชการควรจะได้รับอนุญาตให้ใช้ต่อหรือไม่ จึงเป็นคำถามต่อไป”

แผลใจ

เหตุกราดยิงหมู่ ไม่ได้ฝากเพียงรอยแผลทางร่ายกาย ให้กับผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต แต่ยังฝากรอยแผลเป็นทางใจไปยังผู้คนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องหรืออยู่ในพื้นที่เกิดเหตุหรือไม่ก็ตาม

ธีรพันธ์ หนึ่งในเพื่อนบ้านที่รอดชีวิตมาได้ เล่าว่า ต่อจากนี้ไป เมื่อเหลือบมองไปยังบ้านผู้ก่อเหตุ ความรู้สึกตอนเกือบเป็นเหยื่อเหตุโศกนาฏกรรมก็คงจะมาวนเวียนหลอกหลอนไปอีกนาน

“ถ้าผมอยู่กลางถนนกับคนอื่น ผมก็คงไม่รอดไปแล้ว…ที่เห็นคนตายตรงนี้ ตรงนั้น อีก 10 ปี 20 ปี มันก็คงไม่ลืมหรอกครับ มันยังอยู่ในใจนี่ล่ะ มันเกิดขึ้นกับตากับหูเรา ความเครียดมันสะสมเข้าไป เจ็บถึงท้องถึงไส้ ลงกระเพาะไปหมด พอเห็นว่าพี่น้อง คนที่เคยเห็นเคยมองเคยคุยกันมา ต้องนอนอยู่ตรงนั้น”

"มันยังอยู่ในใจนี่ล่ะ มันเกิดขึ้นกับตากับหูเรา"

ที่มาของภาพ, Narathon Netrakool / BBC Thai

ส่วนชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงเอง ก็ยังคงหวั่นวิตก จากปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ที่ส่งผลกระทบขั้นรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และหวั่นจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบขึ้นซ้ำรอย

“จากหมู่บ้านที่เงียบสงบ ไม่ค่อยมีอะไรที่น่ากลัว…พอเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น ก็คงจะอยู่ตามปกติสุขไม่ได้อีกต่อไป”


……

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว