วิเคราะห์ : 7 ผลลัพธ์ที่ตามมา หาก ประยุทธ์-ประวิตร แยกทาง

พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อยู่ในภาวะ “ฝุ่นตลบ” ภายหลังปรากฏกระแสข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตรียมเปิดตัวร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นในปี 2566

ถึงขณะนี้ยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่า พล.อ. ประยุทธ์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของ พปชร. ในการเลือกตั้งปี 2562 จะย้ายไปสังกัด รทสช. ซึ่งมีที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค จริงหรือไม่

ภายหลังสื่ออย่างน้อย 2 สำนักคือ ไทยรัฐ และเครือเนชั่น รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ แจ้งลา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า พปชร. ขอไปทำงานเมืองกับ รทสช. และจะมีการเปิดแถลงข่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ประวิตร ประยุทธ์

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (22 พ.ย.) พี่น้อง 2 ป. พล.อ. ประยุทธ์ กับ พล.อ. ประวิตร ไม่มีโอกาสพบหน้ากัน เนื่องจากรองนายกฯ ประวิตร อยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ระหว่างวันที่ 22 -24 พ.ย. ตามที่นายกฯ ประยุทธ์ มอบหมาย

พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธจะให้ความชัดเจนในทางเมืองภายหลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยกล่าวเพียงว่า “ขอให้อยู่ในบรรยากาศความสุขก่อนแล้วกัน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแยกกันเดินในทางการเมืองกับ พล.อ. ประวิตร จริงหรือไม่ นายกฯ ไม่ได้ตอบคำถามนี้

รทสช.

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

7 ผลที่ตามมาหาก พล.อ. ประยุทธ์ ตีจาก พปชร.

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดกระแสข่าว “แยกกันเดิน” ของพี่น้อง 2 ป. หลังเกิดการปะทะทางอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล-คุมฝ่ายบริหาร กับ พล.อ. ประวิตร ในฐานะผู้นำพรรค-คุมเสียงฝ่ายนิติบัญญัติ คอยบงการ-สั่งการทางการเมืองอยู่เนือง ๆ โดย รศ.ดร. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย และเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นภาวะ “มังกรสองหัว” แต่เหตุการณ์ผ่านไป ป.ประยุทธ์ ก็ยังไม่มีทีท่าจะแยกวงจาก ป.ประวิตร กระทั่งเกิความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้

แหล่งข่าวจาก พปชร. ผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ วิเคราะห์กับบีบีซีไทยว่า หาก พล.อ. ประยุทธ์ ตีจาก พปชร. จริง จะเป็นผลดีกับพรรคมากกว่า พร้อมคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างน้อย 7 ข้อ

ในพรรค

1. พรรคจะมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น เพราะสมาชิกทุกคนขึ้นตรงกับหัวหน้าพรรค จากเดิมเป็น “องค์กรสองหัว”

2. สมาชิกพรรคบางส่วนอาจลาออกจาก พปชร. แล้วย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ เช่น ภาคใต้ ภาคกลาง และ กทม. แต่ “คนไปมีแค่นิดเดียว คนกลับมาเยอะกว่า”

3. “ผู้กำกับ” ต้องผันตัวมาเป็น “นักแสดง” เสียเอง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อเสียงคะแนนนิยมของพรรค แม้ในการเลือกตั้งปี 2562 ผู้ลงคะแนนเสียงให้ พปชร. ส่วนหนึ่งเพราะต้องการให้ “ลุงตู่” กลับมาเป็นนายกฯ ไม่ได้เลือกเพราะ “ลุงป้อม” ก็ตาม

“ลุงป้อมเขาอยู่เบื้องหลังไง เป็นคนดูแลผู้สมัครทั้งหมด พล.อ. ประยุทธ์เปรียบเหมือนดารา ส่วน พล.อ. ประวิตรเป็นเหมือนผู้กำกับ เวลาหนังออกมาดี ถามว่าเป็นเพราะดารา หรือผู้กำกับละ” นักการเมืองสังกัด พปชร. ซึ่งเลือกแล้วว่าจะอยู่พรรคเดิมต่อไป กล่าว

คนการเมืองรายนี้เชื่อว่า ถ้า “ผู้กำกับ” โดดมาอยู่หน้าฉากในฐานะ “นักแสดง” เสียเอง จะไม่เป็นปัญหา เพราะ “ผู้กำกับส่วนใหญ่ก็มีความสามารถในการแสดง เคยเป็นดาราดังมาก่อนทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้กำกับได้ยังไง”

พปชร.

ที่มาของภาพ, กองโฆษก พปชร.

ในสนามเลือกตั้ง-สภาผู้แทนราษฎร

4. พรรคต้องเตรียมวิธีการสื่อสารเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เพื่อนำมาต่อยอดเป็นนโยบายหาเสียงของ พปชร. ไม่ได้เป็นสิ่งที่ติดตามตัวนายกฯ ไป และพรรคอื่นไม่สามารถแย่งเอาไปได้

5. การตัดฐานเสียงกันเองระหว่าง พปชร. รทสช. และพรรคสร้างอนาคตตไทย (สอท.) ที่มีรากเหง้ามาจาก พปชร. ประเมินว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะอีกฝั่งก็ตัดฐานเสียงกันเองเช่นกัน เมื่อมีการเลือกตั้ง ทุกพรรคการเมืองก็ต้องแข่งกันเต็มที่โดยไม่มีพันธมิตร

6. หากแคนดิเดตนายกฯ คือ พล.อ. ประวิตร จะทำให้ พปชร. สามารถร่วมงานการเมืองกับทุกฝ่ายได้

ในรัฐสภา

7. เสียงในวุฒิสภาอาจแตกออกเป็นสองส่วน คงไม่มีภาพการโหวตเลือกนายกฯ ด้วยมติเอกฉันท์ของวุฒิสภาแบบในคราวเลือกตั้งปี 2562 เพราะขณะนี้ “ส.ว. ไม่เป็นเอกภาพ” และ “ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งทั้งหมด แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นน่าจะต้องเคลียร์กันแล้ว”

“สามมิตร” ยอมรับมี “ข้อมูลใหม่”

ขณะที่แกนนำกลุ่มก้อนการเมืองภายใน พปชร. ที่ยอมเปิดหน้าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ต่างสงวนคำ-ท่าที เพราะไม่มีใครประสงค์จะเป็นผู้ยืนยันกระแสข่าวที่เกิดขึ้น

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค และแกนนำกลุ่ม “สามมิตร” ไม่ขอตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่ากลุ่มสามมิตรยังคงอยู่กับ พปชร. หรือไม่ โดยระบุว่า ได้ตอบไปแล้ว ถ้าเอาไปวิเคราะห์กัน ก็จะวิเคราะห์ออก

“มันเป็นเรื่องข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ จึงต้องว่ากันด้วยข้อมูลใหม่ จะไปพูดกันว่าเราชอบไม่ชอบ รักไม่รัก แล้วตัดสินใจไปร่วมหัวจมท้าย ทางการเมืองมันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องของข้อมูลและความเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นเข้ามาด้วย ขณะนี้ข้อมูลเปลี่ยนแปลงใหม่หมดแล้ว จึงต้องล้างเม็มโมรี (หน่วยความจำ) เก่าออกให้หมด และทำใจให้นิ่ง แล้วคิดต่อไปว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป” แกนนำกลุ่มสามมิตรกล่าว

ย้อนกลับไปกลางเดือน ต.ค. นายสมศักดิ์ประกาศต่อสาธารณะว่า “สามมิตรไม่คิดไปไหนครับ ยังยืนยันอยู่พลังประชารัฐ” และ “มั่นใจว่า พล.อ. ประยุทธ์ สามารถควบคุมสถานการณ์และทำงานได้”

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์วันนี้ (22 พ.ย.) นายสมศักดิ์ไม่ได้พูดตรง ๆ ว่า “ข้อมูลใหม่” ที่เอ่ยถึงหลายครั้งคืออะไร แม้สื่อมวลชนจะตั้งประเด็นให้ว่าเป็นเรื่อง พล.อ. ประยุทธ์ย้ายพรรค กับ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) กลับพรรค

“การตัดสินใจไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันต้องมีข้อมูลให้ครบ” นายสมศักดิ์กล่าว

สมศักดิ์ เทพสุทิน กับ อนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

สันติยืนยัน อยู่ช่วย พล.อ. ประวิตร

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการ พปชร. บอกเพียงว่า “ยังไม่ทราบ” ไม่ว่าจะถูกถามถึงกระแสข่าว 2 ป. แยกทางกัน หรือข่าว ส.ส. บางส่วนเตรียมย้ายพรรคตามนายกฯ ไป

คำถามเพียงข้อเดียวที่นายสันติพอให้ความกระจ่างบ้าง คือคำถามที่ว่ายืนยันว่าจะอยู่ช่วย พล.อ. ประวิตร ไม่คิดไปไหนใช่หรือไม่

“ในฐานะเลขาธิการพรรคก็ยืนยัน” นายสันติกล่าว

…..

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว