
ฉากยิงต่อสู้ระหว่างเจ้าของร้านทองใน จ.ตาก กับคนร้าย 4 คน เมื่อ 8 ธ.ค. กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทุกสื่อติดตามอย่างใกล้ชิด แต่สำหรับเจ้าของร้านทองหญิงวัยเกษียณใน จ.สงขลา การบุกปล้นอุกอาจครั้งนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวและสร้างความวิตกกังวล
อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยวัยเกษียณหยิบปืนลูกซองประจำร้านมาถ่ายรูป ที่บุตรชายนำไปโพสต์ในสังคมออนไลน์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เป็นเจ้าของร้านทองยุคนี้ ก็ต้องรู้จักป้องกันตนเอง เมื่อภัยมาเยือน
“พี่ไปเรียนยิงปืน เรียนเพื่อป้องกัน เพราะพี่ก็เปิดร้านทอง” พลอยกนก ขุนชำนาญ เจ้าของห้างทองพลอยกนก ใน จ.สงขลา บอกกับบีบีซีไทย หลังโพสต์ที่ลูกชายของเธอนำรูปเธอถือปืนไปลง มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว แชร์ไปเกือบ 1 หมื่นครั้งในเวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ชาย 4 คนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าร้านทองเยาวราช กลางอำเภอเมือง จ.ตาก ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนตากพิทยาคม ก่อนชักปืนยิงประตูกระจก เปิดทางแล้วเตะกระจกเข้ามาในร้าน ก่อนพยายามใช้เครื่องเจียรพยายามตัดลูกกรง เพื่อปล้นทอง
นายพิสิฐ ระพิทย์พันธ์ เจ้าของร้านทองดังกล่าว เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด จึงตัดสินใจทำตามยุทธวิธีที่เรียนมา คว้าปืนลูกซองยี่ห้อเบเนลลี รุ่นเอ็มโฟร์ เอวัน เอนทรี (Benelli M4 A1 Entry) ยิงขึ้นฟ้าก่อน และตามด้วยนัดที่ 2 และ 3 เพื่อขู่
- ปืนกับคนไทย ทำอย่างไรให้ลดการถือครอง
- กราดยิงโคราช : ยากแค่ไหนหากคนไทยอยากมีปืนถูกกฎหมาย เปิดขั้นตอนขออนุญาต หลัง ผบ.ทบ.เผย ผู้ก่อเหตุมีถึง 5 กระบอก
- ส.ต.อ. ปัญญา คำราบ : ทำไม “คนดี” ของญาติ จึงกลายเป็นมือสังหาร 36 คน
ภาพจากกล้องวงจรปิดที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ แสดงให้เห็นคนร้ายพยายามวิ่งไปที่รถจักรยานยนต์ เพื่อขับหลบหนี แต่รถสตาร์ทไม่ติด พร้อมกันนั้น คนร้ายคนหนึ่งหันปืนยิงสวนกลับเข้ามา นายพิสิฐ จึงยิงสวนกลับไป ส่งผลให้คนร้ายหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส
ต่อมา ตำรวจจับกุมคนร้ายอีกคนหนึ่งได้ ส่วนอีก 2 คน ซึ่งเป็นชาวม้งและชาวเมียนมา ยังลอยนวล
นายพิสิฐ เปิดใจกับไทยพีบีเอสว่า กระทำไปเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น และตลอดมาก็ระมัดระวังเต็มที่อยู่แล้ว “อยากให้เป็นกรณีตัวอย่าง ให้เจ้าของร้านทองปกป้องตัวเองให้เต็มที่ และฝึกยิงซ้อมบ่อย ๆ เพราะว่าตอนนี้ เศรษฐกิจไม่ดี ไว้ใจใครไม่ได้”
พลอยกนก รับชมภาพเหตุการณ์ที่จังหวัดตากแล้ว เห็นพ้องกับนายพิสิฐว่า ถึงเวลาแล้วที่เจ้าของร้านทองจะต้องมีทักษะป้องกันตัว
“ตอนแรกพี่ก็ว่าไม่โอเค (กับการที่นายพิสิฐยิงปืนไปเช่นนั้น)” พลอยกนก กล่าว “แต่ตอนที่โจรวิ่งออกไปแล้วยิงสวนกลับมา ถ้าเป็นการป้องกันตัวเอง ก็ทำได้”
“เจ้าของร้านยิงขึ้นเพดานก่อน มันก็เป็นการขู่ แต่เขากลับยิงสวนเข้ามา ก็ถือเป็นการป้องกันตัวเอง”
จากอาจารย์ที่รักของศิษย์ สู่เจ้าของห้างทอง
กนกพร เริ่มเปิดร้านทองใน จ.สงขลา เมื่อ 2 ปีก่อน ในช่วงโควิดระบาด ภายหลังเธอเกษียณราชการจากงานอาจารย์ จึงออกมาเปิดร้านขายทองกับสามี ที่เกษียณอายุแล้วเช่นกัน
ในเวลานั้น ปืนสองกระบอกที่สามีใช้สิทธิสวัสดิการกรมการปกครอง ซื้อมาเก็บไว้ครอบครอง คือ ปืนลูกซองบาเร็ตตา และปืนพกซิกซาวเออร์ ได้กลายเป็นปืนประจำร้าน โดยเก็บแยกกระสุนไว้ และมีเพียงเธอ สามี และบุตรชาย ที่เข้าถึงได้
“เรามีปืนป้องกันอยู่แล้ว และมีพื้นที่สองไร่ จึงตัดสินใจเปิดร้านทอง” เธอบอกกับบีบีซีไทย พร้อมเสริมว่า ได้ดำเนินการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานห้างทองทุกประการ ทั้งกระจกนิรภัย ประตูที่ต้องกดปุ่มก่อนจึงจะเปิด รวมถึงลูกกรงเหล็ก
เมื่อตัดสินใจเปิดร้านทอง พลอยกนก ตัดสินใจไปเรียนและฝึกซ้อมยิงปืน เพื่อเป็นทักษะป้องกันตัวเอง เช่นเดียวกับตัวสามีและลูกชาย ซึ่งต่างก็มีใบอนุญาตการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนแล้ว
แต่เธอยอมรับว่า หากเกิดสถานการณ์เหมือนที่ จ.ตาก เธอจะบอกพนักงานในร้านว่า อย่าต่อสู้ ให้เอาชีวิตรอดไว้เป็นสำคัญ
“เกิดเหตุฉุกเฉินก็ต้องเตรียมตัว มีทางหนีทีไล่ เอาชีวิตรอดไว้ก่อน” แต่เธอก็ย้ำว่า นับแต่เปิดห้างทองมา ยังไม่เคยเกิดเหตุจี้ปล้นแต่อย่างใด และตั้งข้อสังเกตว่า จังหวัดที่ติดกับชายแดน มีความเสี่ยงเกิดเหตุลักษณะนี้บ่อยกว่าหรือไม่
อีกปัจจัย คือ ปัญหาปืนเถื่อนเกลื่อนเมือง ที่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีครอบครองปืน และนำมาใช้ก่อเหตุได้ง่าย ดังที่เห็นข่าวการปล้นร้าน/ห้างทอง อยู่บ่อยครั้ง
คนไทยสนใจปืนมาก
คนไทยสนใจเรื่องปืนมากพอ ๆ กับ อาหาร ท่องเที่ยว และสินค้าไอที การแนะนำ รีวิวอาวุธปืนหลากชนิด เป็นหนึ่งในเนื้อหายอดนิยมติดอันช่องยูทิวบ์ เฟซบุ๊กของไทย แต่ละตอนที่นำเสนอออกมา เรียกผู้ชมได้เป็นหลักแสนในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ และไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยมีปืนมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายงานของ Small Arms Survey (SAS) องค์กรที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธเบาทั่วโลกของสวิตเซอร์แลนด์ เผยแพร่เมื่อ มิ.ย. 2561 ระบุว่า ไทยมีปืนราว 10.3 ล้านกระบอก มากเป็นอันดับที่ 13 ของโลก เทียบกับอันดับ 1 สหรัฐอเมริกา ที่มีมากถึง 393.9 ล้านกระบอก
เมื่อเทียบกับชาติอื่นในอาเซียน ไทยถือว่ามีจำนวนอาวุธปืนมากที่สุด รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ที่มีปืนในครอบครอง 3.9 ล้านกระบอก และเวียดนามที่ 1.5 ล้านกระบอก
จากจำนวนปืน 10.3 ล้านกระบอกในไทยนั้น SAS ระบุว่า มีเพียง 6.2 ล้านกระบอกที่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และที่เหลืออีก 4.1 ล้านกระบอกเป็นปืนเถื่อนไม่มีทะเบียน
บีบีซีไทยเคยได้พูดคุยกับ กชนก สุต๊า หรือ “น้ำอิง” พิธีกรหญิงวัย 32 ปี ผู้ผลิตวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับปืน
วิดีโอแต่ละตอนของเธอ มียอดผู้เข้าชมเรือนหมื่นถึงหลายล้านบอกว่า เธอเริ่มสนใจเรื่องปืนจากตอนที่เธอไปซ้อมยิงปืนที่สนามกับเพื่อนครั้งแรกเมื่อห้าปีที่ผ่านมา
“แต่ก่อนไม่ได้มีความสนใจเรื่องปืน แต่มีเพื่อนที่ชอบยิงปืนและชักชวนไปสนามยิงปืน พอได้ลองยิงแล้วถ่ายคลิปลงเฟซบุ๊ก เกิดเป็นกระแสไวรัลขึ้นมา มีคนแชร์นับหมื่น จากการที่เรายิงปืนกลมือ และเข้าเป้าตรงกลางทั้ง 10 นัด ในช่วงนั้นไม่น่ามีผู้หญิงที่ยิงปืนแบบนี้ในโลกออนไลน์ จึงเป็นกระแสโด่งดังมาก” กชนก กล่าว
กชนก คิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้รายการเรื่องปืนเป็นที่นิยม เพราะการเข้าถึงปืนของคนไทยในฐานะที่เป็นพลเรือนเป็นเรื่องง่าย ทว่าหลังจากก่อเหตุกราดยิงที่หนองบัวลำภูเกิดขึ้น ทำให้การออกใบอนุญาตซื้อและครอบครองอาวุธปืนเป็นไปได้ยากขึ้นกว่าเดิมมาก
“นอกจากเข้าถึงได้ง่ายแล้ว การที่คนไทยให้ความสนใจคอนเทนท์เกี่ยวกับปืนเพิ่มมากขึ้นเพราะบ้านเมืองเรามีเหตุความรุนแรงที่ไม่คาดคิดมากขึ้น ทำให้คนเริ่มหันมามองว่าอาวุธปืนมีคุณหรือมีโทษกันแน่ และการครอบครองปืนได้มากจะดีหรือไม่”
เจ้าของห้างทอง ถึงเวลา “ยิงสู้”
ประเด็นถกเถียงในสังคมหลังเกิดเหตุยิงต่อสู้ใน จ.ตาก คือ การกระทำของเจ้าของห้างทอง ที่ยิงใส่คนร้าย เป็นเรื่องเกินกว่าเหตุหรือไม่
ทนายเกิดผล แก้วผล ทนายความชื่อดัง แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า พฤติการณ์ของเจ้าของห้างทองอาจดูเกินกว่าเหตุ แต่เมื่อพิจารณาจากกล้องวงจรปิดในหลายมุม จึงเห็นว่า คนร้ายหันกระบอกปืนเข้าใส่ในทิศทางที่อาจจะเข้าสู่หน้าร้าน จึงถือว่า “มีภยันอันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายอยู่ เจ้าของร้านยิงป้องกันได้ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นการป้องกันเกิดกว่าเหตุ”
สอดคล้องกับ การให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอส ของ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทรยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ชี้ว่า จุดสำคัญที่จะพิสูจน์ข้อสงสัยนี้คือ “ภยันตรายสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่” ซึ่งตามกระบวนพิจารณาความอาญา ให้อำนาจพนักงานสอบสวนไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเพียงแค่คลิปที่ประชาชนเห็นในเวลานี้ มันยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์
ยิงป้องกันอย่างไรให้ “โดยชอบด้วยกฎหมาย”
ด้าน ทนายรัชพล ศิริสาคร ทนายดังอีกคน เห็นต่างว่า หากคนร้ายอยู่ระหว่างที่วิ่งหนี ขณะที่เรายิงสวนออกไปนั้น เมื่อคนร้ายวิ่งหนีแปลว่าภัยหมดแล้ว ถ้าเราอยู่เฉย ๆ ไม่มีภัยมาถึงเราแล้ว การที่จะไปยิงซ้ำ ตามล่าคนร้าย ที่ยังไม่ได้เอาทองไป แล้วเรายิงซ้ำกระสุนเข้าด้านหลัง มีคำพิพากษาศาลฎีกาอยู่หลายคดี ที่ระบุว่าเป็นการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ เพราะถ้าภัยหมดแล้ว เราจะป้องกันตัวอย่างนั้นไม่ได้ และเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีว่าป้องกันตัวเกิดแก่เหตุ
มาตรา 68 แห่งประมวลกฎหมายอาญาไทย ระบุว่า “ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่น ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”
หลักเกณฑ์ ของการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีดังนี้
- มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย คือ ภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นผู้กระทำไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ หากผู้กระทำมีอำนาจที่จะกระทำได้ ก็ไม่มีสิทธิป้องกัน
- ผู้ที่จะอ้างป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องไม่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นด้วย แต่ถ้าผู้จะอ้างป้องกันนั้น มีส่วนก่อให้เกิดภยันตรายนั้น ก็ไม่สามรถอ้างป้องกันได้
- ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้น จะต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง คือ ภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นกระชั้นชิดถึงขนาดที่หากไม่ป้องกันตัวในขณะนั้น ก็อาจจะเกิดอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่นได้
- ผู้กระทำจำต้องกระทำการเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นจากภยันตรายนั้น
การกระทำเพื่อป้องกันนั้น จะต้องกระทำพอสมควรแก่เหตุ คือ - การกระทำเพื่อป้องกันนั้น จะต้องได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้น เช่น ภยันตรายที่เกิดขึ้นจากการถูกตบหน้า จะป้องกันโดยใช้ปืนยิง ถือว่าไม่ได้สัดส่วนกัน การกระทำเพื่อป้องกันนั้น ถ้าผู้กระทำได้ใช้วิถีทางน้อยที่สุดที่จะทำให้เกิดอันตรายแล้ว ถือว่ากระทำไปพอสมควรแก่เหตุ
สำหรับ พลอยกนก มองว่า ตำรวจควรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง และให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของห้างทองด้วย เพราะแม้ห้างทองจะมีความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่จะทำได้ หรือติดลูกกรงเท่าไหร่ แต่หากคนร้ายติดอาวุธเข้ามาหวังปล้น คนทำธุรกิจห้างทองอย่างเธอ เป็นด่านหน้าที่ต้องป้องกันตนเองและทรัพย์สิน
“ถ้าไม่สู้กลับ ไม่ทำอย่างนี้ (โจร) มันก็จะย่ามใจ” เธอ กล่าวด้วยเสียงที่เริ่มมีอารมณ์
“น่ากลัว พี่ว่ามันน่ากลัว มันเข้ามา ใช้ปืนชี้ให้คนนั่ง ไม่เกรงกลัวอะไรเลย… มันย่ามใจมาก มันคิดว่าจะทำอะไรก็ได้นะพี่ว่า”
“อย่างนี้มันไม่ปลอดภัยแล้ว”
…………..
ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว