มากาเร็ต แซงเกอร์: มารดาแห่งการคุมกำเนิด

 

Margaret Sanger in her younger days looking to camera

Getty Images
มาร์กาเร็ต แซงเจอร์ เป็นผู้ปูทางไปสู่สิทธิในการคุมกำเนิดของสตรี แต่มรดกตกทอดของเธอถูกทำลายโดยความเกี่ยวข้องของเธอกับขบวนการสุพันธุศาสตร์

 

มากาเร็ต แซงเกอร์ ได้ต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อให้ความฝันของเธอที่ผู้หญิงจะสามารถเข้าถึงยาคุมกำเนิดที่ใช้ได้ง่ายเป็นจริง  แม้ว่าในช่วงหลังจะมีการกล่าวหาว่าเธอเป็นพวกเหยียดผิวหรือเหยียดชนชั้น แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่างานด้านคุมกำเนิดของเธอยิ่งใหญ่และเปลี่ยนโลกได้อย่างแท้จริง

“คุณแม่! คุณสามารถเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ได้จริงหรือ? คุณต้องการมีลูกอีกหรือ? ถ้าไม่ ทำไมคุณถึงมีพวกเขา? อย่าฆ่าเขา  อย่าเอาชีวิตเขาไป แต่ป้องกันได้   สามารถรับข้อมูลที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายจากพยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรม….”

โฆษณานี้ปรากฏในนิวยอร์กในปี 1916 ที่คลินิกคุมกำเนิดแห่งแรกของสหรัฐฯ ก่อตั้งโดยมากาเร็ต แซงเกอร์   ซึ่งในสมัยนั้นการคุมกำเนิดจึงเป็นเรื่องอื้อฉาวและผิดกฎหมาย ในไม่ช้าคลินิกก็ถูกปิด และแซงเกอร์ถูกโยนเข้าคุก  แต่เมื่อเธอเสียชีวิตในอีก 50 ปีต่อมา งานที่เธอทำมาทั้งชีวิตได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการวางแผนครอบครัวทั่วโลก

ADVERTISMENT

สื่อและนักวิชาการยกย่องให้เธอเป็น “มารดาแห่งการคุมกำเนิด” จากการที่แซงเกอร์เป็นผู้ที่รับผิดชอบการพัฒนายาเม็ดคุมกำเนิด

A woman holding early birth control pills

ADVERTISMENT
Getty Images
ยาคุมกำเนิดตัวแรกออกสู่ตลาดเพียงหนึ่งปี ก่อนแซงเจอร์จะเสียชีวิต

ความเห็นที่ขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม วิธีการและแรงจูงใจของเธอยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ความสัมพันธ์ของเธอกับขบวนการสุพันธุศาสตร์ ที่มีแนวคิดว่าควรสนับสนุนให้คนที่มียีนส์ที่เป็นที่ต้องการเท่านั้นมีลูกได้ ทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่าเธอเหยียดเชื้อชาติ

“มรดกของแซงเกอร์นั้นผสมผสานกันจริง ๆ” ซานจาม อาห์ลุวาเลีย  ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และผู้หญิงและเพศศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์น แอริโซนา กล่าว

อาห์ลุวาเลีย  ซึ่งเป็นผู้เชียนหนังสือเรื่อง “Reproductive Restraints: Birth Control in India, 1877-1947” กล่าวอีกด้วยว่า “ฉันไม่คิดว่ามันผูกติดอยู่กับการปลดปล่อยแนวคิดเรื่องการคุมกำเนิดเพียงอย่างเดียว… แต่ฉันคิดว่าปฏิเสธคนอย่างแซงเกอร์นั้นง่ายเกินไป… เราต้องอ่านประวัติของเธอ [และ] อย่างมีวิจารณญาณ” เธอบอกกับรายการเดอะ ฟอรัม ของบีบีซีเวิร์ล เซอร์วิส เรดิโอ

A woman fastens a mask to Margaret Sanger's face in Boston on 17 April 1929

Getty Images
‘ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นอิสระ หากไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้’: มาร์กาเร็ต แซงเจอร์ (ขวา) สวมหน้ากากเพื่อประท้วงที่ถูกห้ามพูดเรื่องการคุมกำเนิดในบอสตัน ปี 1929

จุดกำเนิด

แซงเกอร์เกิดในปี 1879  ในรัฐนิวยอร์ก เป็นลูกคนที่หกจากทั้งหมดสิบเอ็ดคน  ไมเคิล พ่อของเธอเป็นช่างก่อหินชาวไอริช ครอบครัวของเธอยากจนและอาศัยอยู่ในกระท่อม แม่ของเธอตั้งครรภ์ถึง 18 ครั้ง ในจำนวนนี้ได้แท้งลูกไป 7 ครั้ง

แซงเกอร์เริ่มต้นจากการเป็นพยาบาลในการดูแลแบบประคับประคองเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนัก  ทำให้เธอได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ และยังได้เห็นผลที่ตามมาจากการทำแท้งในท้องถนนอีกด้วย

“สมัยนั้นมีกฎหมายคอมสตอก (Comstock) ที่ห้ามใช้ไปรษณีย์เพื่อเผยแพร่การคุมกำเนิดหรือข้อมูลหรืออุปกรณ์คุมกำเนิด นอกจากนี้ยังมีกฎหมายต่อต้านการคุมกำเนิดในหลายรัฐด้วย” เอเลน ไทเลอร์ เมย์ ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาอเมริกันและประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมินนิโซตา และผู้เขียนหนังสือ “America and the Pill: A History of Promise, Peril and Liberation” กล่าว

นอกจากนี้แซงเกอร์ยังต้องต่อสู้กับคริสตจักรคาทอลิกที่มีอำนาจมาก ซึ่งถือว่าการคุมกำเนิดเป็นบาปอีกด้วย

สิทธิในการคุมกำเนิด

ในเดือน มี.ค. 1914 แซงเกอร์ตีพิมพ์นิตยสารขื่อ The Woman Rebel ซึ่งสนับสนุนสิทธิในการคุมกำเนิด แต่เธอก็ถูกกฎหมายเล่นงานอีก ทำให้เธอต้องขึ้นเรือหนีไปอังกฤษ

ที่นั่น เธอได้รับอิทธิพลจากผลงานของโทมัส โรเบิร์ต มัลธัส ผู้แย้งว่าทรัพยากรของโลกไม่สามารถรองรับการเติบโตของประชากรที่ขาดการควบคุม  เขาแนะนำให้คนทั้งหลายควบคุมตนเองและชะลอการแต่งงานออกไป  แต่นักเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “นีโอ-มัลธัส” กำลังกดดันให้มีการคุมกำเนิด

“เธอเริ่มพัฒนาวิธีการสื่อสารขึ้น… [โดยการพูด] ว่าการคุมกำเนิดเป็นวิธีรักษาสันติภาพ และ [หลีกเลี่ยง] การขาดแคลนอาหาร” ดร. แคโรไลน์ รัสเตอร์โฮลซ์ นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษกล่าว  โดยที่รัสเตอร์โฮลซ์นั้นเน้นประวัติศาสตร์เรื่องประชากร ยา และเรื่องเพศสัมพันธ์

คลินิกแรก

A birth control clinic opened secretly on First Avenue in New York City before World War One

Getty Images
แซงเจอร์เปิดคลินิกคุมกำเนิดแห่งแรกของประเทศที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายในขณะนั้น

 

ในที่สุดแซงเกอร์ก็กลับมายังสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง  เธอเปิดคลินิกคุมกำเนิดแห่งแรกของประเทศที่นครนิวยอร์ก ในย่านที่มีสตรีที่เป็นผู้อพยพและยากจนจำนวนมากอาศัยอยู่ แต่คลินิกดังกล่าวถูกบุกค้นหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันและแซงเกอร์ก็ถูกจับกุม

เธอเปิดคลินิกอีกครั้งในไม่กี่วันต่อมา และถูกจับกุมอีกครั้ง โดยถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าก่อความรำคาญในที่สาธารณะ  เธอขึ้นสู่พิจารณาคดีในปี 1917  ท่ามกลางความสนใจอย่างมากของสาธารณชน ศาลตัดสินว่าเธอมีความผิด โดยให้เลือกว่าจะถูกจำคุก 30 วันหรือจ่ายค่าปรับ แซงเกอร์เลือกการเข้าคุก ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว เธอก็ได้ให้ข้อมูลการคุมกำเนิดแก่ผู้ต้องขัง

“จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ [เธอ] กลายเป็นบุคคลสำคัญในสหรัฐอเมริกา พี่สาวของเธอก็อยู่ในคุก [และ] อดอาหารประท้วงด้วย” เอลเลน เชสเลอร์ ผู้เขียนชีวประวัติของแซงเกอร์กล่าว

หลังจากได้รับการปล่อยตัว แซงเกอร์ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินที่บอกว่าเธอมีความผิดแต่ไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ศาลตัดสินว่าแพทย์สามารถสั่งยาคุมกำเนิดได้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์

โศกนาฏกรรม

ท่ามกลางการต่อสู้ทางกฎหมาย เธอก็เผชิญกับปัญหาในชีวิตส่วนตัว ในปี 1914 เธอแยกทางกับวิลเลียม ผู้เป็นสามี  และในปี 1915 เพ็กกี ลูกสาวคนเดียวของเธอก็เสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยวัยเพียง 5 ขวบเท่านั้น

หลังจากนั้นเธอคบหากับผู้ชายหลายคน รวมถึงแฮ็ฟล็อค เอลลิส  นักวิจัยพฤติกรรมทางเพศและ เอช จี เวลส์ นักเขียนชื่อดัง   ปี 1922 เธอแต่งงานกับเจมส์ โนอาห์ เอช สลี เจ้าพ่อน้ำมัน  ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักในการเคลื่อนไหวของเธอ

A crowd of people surrounding Sanger and her sister, Ethel Byrne, as they leave court

Getty Images
ฝูงชนรวมตัวกันรอบ ๆ แซงเจอร์ หลังเธอเดินทางออกจากศาล

สุพันธุศาสตร์

แซงเกอร์ขอความช่วยเหลือไปยังคนหลายกลุ่มสำหรับการเคลื่อนไหวของเธอ รวมทั้งเข้าร่วมกับกลุ่มที่มีมุมมองที่ปัจจุบันไม่ยอมรับโดยสิ้นเชิง

“เธอร่วมมือกับสมาคมสุพันธุศาสตร์… และได้รับเงินทุนจากพวกเขาด้วย” รัสเตอร์โฮลซ์กล่าว

สถาบันวิจัยจีโนมมนุษยธรรมแห่งชาติของสหรัฐฯ ให้คำจำกัดความของ “สุพันธุศาสตร์” ว่าเป็น “ทฤษฎีที่ไม่ถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยการคัดกรองการเพื่อปรับปรุงพันธุ์ของประชากร”

อย่างไรก็ตาม ก่อนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนาซีจะเกิดขึ้น ทฤษฎีเช่นนี้ได้รับการเผยแพร่โดยไม่มีการต่อต้านมากนัก

“เธอต้องการต่อสู้กับความยากจนจริง ๆ  และเธอก็สนับสนุนแนวคิดบางอย่างของสุพันธุศาสตร์ที่มีปัญหา เช่น เธอเสนอทำหมันในหมู่ผู้พิการ เป็นต้น” รัสเตอร์โฮลซ์กล่าวเสริม

เอลเลน เชสเลอร์ ผู้เขียนชีวประวัติของแซงเกอร์ กล่าวว่า เธอมีความคิดเป็นของตัวเอง “นักสุพันธุศาสตร์แบบดั้งเดิมต่อต้านการคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงชั้นกลาง พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องลำดับชั้นของเชื้อชาติ ชนชั้น และสีผิว เธอไม่คิดเช่นนั้น เธอต้องการให้ผู้หญิงทุกคนมีลูกน้อยลงเท่านั้นเอง”

จนแย่ และมีพันธุกรรมที่ย่ำแย่

ตลอดทศวรรษที่ 1920 และ 1930  มาร์กาเร็ต แซงเกอร์เดินทางไปส่งเสริมการคุมกำเนิดในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย

ในจดหมายที่ส่งถึงสมาคมสุพันธุศาสตร์แห่งลอนดอน (London Eugenics Society) ซึ่งให้ทุนเธอเดินทางไปอินเดียในปี 1935  เธอสื่อสารด้วยการใช้คำแบบพวกเขา: “เพื่อนำความรู้เรื่องการคุมกำเนิดไปสู่คนยากจนและผู้ที่เป็นต้นแบบทางชีวภาพที่ย่ำแย่”

ที่อินเดีย เธอพยายามสนับสนุนการใช้ผงโฟมดูโอ (ผงฆ่าเชื้ออสุจิ) แต่ได้รับเสียงบ่นมากมายว่าทำให้รู้สึกแสบร้อนและใช้งานยากหากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์

“มีการป่าวประกาศชักชวนเรื่องการคุมกำเนิดและนำเสนอยาคุมกำเนิดให้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นแรงงานที่ยากจน แต่เทคโนโลยียังไปไม่ถึงจุดนั้น” ซานจาม อาห์ลุวาเลีย กล่าว

การดำเนินงานของเธอที่นั่น ทำให้เธอมีโอกาสได้พบกับผู้มีอิทธิพลชาวอินเดีย เช่น มหาตมะ คานธี และรพินทรนาถ ฐากูร เจ้าของรางวัลโนเบล ในขณะที่ฐากูรสนับสนุนการคุมกำเนิด คานธีสนับสนุนการเป็นโสดและการหักห้ามใจตนเอง แซงเกอร์พยายามอย่างมากที่โน้มน้าวรคานธี แต่ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น  ขบวนการส่งเสริมคุมกำเนิดทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกก็ถูกลดบทบาทลงไป  แต่หลังจากนั้น ความกลัวที่เกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรกลับมาเป็นแรงกระตุ้นให้ขบวนการกลับมาเคลื่อนไหวมากขึ้น

Sanger speaking at the fifth International Birth Control Conference held in Tokyo

Getty Images

“ยาวิเศษ”

ในช่วงเวลานี้ แซงเกอร์ผิดหวังกับความไร้ประสิทธิภาพของวิธีการคุมกำเนิดที่มีอยู่ เช่น ไดอะแฟรม เธอจึงเริ่มผลักดันวิธีการที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น อย่างเช่น ยาที่กินได้ เธอเขียนถึงความฝันของเธอเรื่อง “ยาวิเศษ” ในปี 1939 แต่เพื่อให้ความคิดกลายเป็นความจริง เธอต้องการความช่วยเหลือ พันธมิตรที่สำคัญอันดับแรกคือ แคทเธอรีน แม็คคอร์มิก นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี ซึ่งเป็นแม่ม่ายผู้มั่งคั่งซึ่งมักให้ทุนสนับสนุนการวิจัย เธอชักชวนดร. เกรกอรี พินคัส นักวิทยาศาสตร์ด้านการเจริญพันธุ์ผู้อื้อฉาวให้เข้าร่วมโครงการด้วย

แม็กคอร์มิกเริ่มให้ทุนก้อนแรก 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ และในที่สุดก็กลายเป็น 1 ล้านเหรียญ

หลังจากผ่านไปสิบปี ยาเม็ดก็พร้อมใช้ แต่มีปัญหาในการทดสอบและตรวจสอบประสิทธิภาพ

การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950  คณะผู้ศึกษาจึงเดินทางไปที่เปอร์โตริโกและเฮติ ผู้หญิงในที่ลี้ภัยและชุมชนแออัดมีส่วนร่วมในการทดสอบ แม้ว่าหลายคนอาจไม่ทราบพวกเขากินอะไรเข้าไป “แน่นอนว่ามีการละเมิดสิทธิ์เกิดขึ้นอย่างเด่นชัด” เอเลน ไทเลอร์กล่าว

ในปี 1965 สหรัฐอเมริกาได้เริ่มอนุญาตให้สตรีที่แต่งงานแล้วใช้ยานี้ได้ จากนั้นให้สตรีทุกคนเข้าถึงในปี 1972 จากนั้นอีกหลายประเทศก็นำมาใช้เช่นกัน แซงเกอร์รู้สึกพึงพอใจที่ได้เห็นยาเม็ดนี้สำเร็จก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในปี 1966

มรดกของแซงเกอร์

มาร์กาเร็ต แซงเกอร์ถูกกล่าวหาว่าเหยียดเชื้อชาติมานานหลายทศวรรษ เพราะความเกี่ยวพันของเธอกับสุพันธุศาสตร์ และงานที่เธอทำกับชาวแอฟริกันอเมริกัน ชุมชนคนผิวดำเชิญเธอให้ช่วยสร้างคลินิก ซึ่งเธอเรียกว่า “โครงการนิโกร”  ที่มีวัตถุประสงค์เผยแพร่คำแนะนำในการคุมกำเนิดแก่ชุมชนคนผิวดำที่ยากจนในภาคใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งในภายหลัง ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์โดยกลุ่มชาตินิยมผิวดำ และต่อมาก็ถูกนักเคลื่อนไหวต่อต้านการทำแท้งหยิบเอามาใช้

ในเวลาเดียวกัน เธอได้วางรากฐานสำหรับบริการด้านสุขภาพทางเพศและการทำแท้งของสหรัฐฯ ชื่อ Planned Parenthood

ยาเม็ดดังกล่าวกลายเป็นหนึ่งในรูปแบบการคุมกำเนิดที่ใช้มากที่สุดในโลก รองจากการทำหมันและถุงยางอนามัย  ซึ่งมีผู้หญิงใช้มากกว่า 150 ล้านคนในปัจจุบัน

Margaret Sanger, US activist for birth control

Getty Images

 

ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว