เม พรีมายา : ย้อนรอยแชร์ลูกโซ่ จากแชร์แม่ชม้อย สู่กรณี เม พรีมายา

ความโลภ ความอยากรวยทางลัด หรือความอยากซื้อของถูกมาก ล้วนอยู่ในใจคนไทยไม่น้อย ทุกยุค ทุกสมัย เป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพใช้ลูกเล่น หลอกเงินไปได้มหาศาล ด้วยวิธีการดั้งเดิมอย่าง “แชร์ลูกโซ่” ที่ล้วนใช้ได้ผลเสมอมา เพียงแต่ สินค้าเปลี่ยนไปตามสภาพเศรษฐกิจ ตั้งแต่ น้ำมัน เงินตราต่างประเทศ ข้าวสาร ยางพารา มันสำปะหลัง น้ำมันหอมระเหย ทัวร์ญี่ปุ่น ชวนลงทุน Forex-3D และกรณีล่าสุดเกี่ยวกับ เม พรีมายา

แชร์ลูกโซ่ คือการระดุมทุนจากประชาชน จูงใจด้วยผลตอบแทนสูง อ้างว่านำไปลงทุนในธุรกิจที่มีกำไรดี บางครั้งก็แฝงมากับธุรกิจขายตรง แต่เน้นหาสมาชิกใหม่ เพื่อนำเงินจากรายใหม่มาจ่ายรายเก่า จนเมื่อถึงจุดที่หมุนเงินไม่ไหวก็มักจะหนีหายไป ทิ้งหนี้สินไว้เบื้องหลัง

เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา บีบีซีไทยเคยรวบรวมและรายงานคดีสำคัญไปแล้ว แต่ยังมีกรณีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างกรณีล่าสุดที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันในสังคมในขณะนี้ คือ การดำเนินคดี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ต่อ น.ส. พิชญ์นรี ตันติวิทย์ หรือ เม พรีมายา เจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อดัง โดยอ้างว่า หากมาร่วมลงทุนเพียง 6,000 บาท ได้กำไร 15 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน

“จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่คำชวนเชื่อหรือคำโฆษณาอะไรค่ะ ซึ่งตรงนี้ได้ให้การเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว …โดยตัวธุรกิจของหนู หนูก็ไม่ได้สร้างเรื่องที่จะหลอกหลวงให้คนเชื่อมา ทั้งนี้ เดี๋ยวรอให้เป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการ แล้ววันหนึ่งทุกอย่างประจักษ์ขึ้นแล้วก็จะได้คำตอบเอง” น.ส.พิชญ์นรี อธิบายต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 19 ม.ค. หลังจากเดินทางมามอบตัวตามหมายจับ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และปฏิเสธข้อกล่าวหา

การเดินทางมามอบตัวครั้งนี้ เป็นผลมาจากการตรวจค้นบ้านเลขที่ 189/24 หมู่บ้านลัดดารมย์ บางนา ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นบ้านพักของ น.ส.พิชญ์นรี เจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ชื่อแบรนด์ PRIMAYA (พรีมายา) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 41/2566 ลงวันที่ 17 ม.ค. ในฐานความผิด โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ตามหมายค้นศาลอาญาที่ 62/2566 ลงวันที่ 18 ม.ค.

ที่มาของคดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า น.ส.พิชญ์นรี ใช้ข้อความอันเป็นเท็จ ลักษณะเชิญชวนอ้างว่าลงทุน 6,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ได้เงิน 15 ล้านบาท พร้อมโพสต์ภาพภาพหญิงคนหนึ่งคู่กับรถหรูในโชว์รูม แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าไม่เป็นไปตามข้อความที่ปรากฎ

อย่างไรก็ตาม บทสรุปคดีนี้จะเป็นเช่นไร คงต้องมาติดตามกัน

นอกจากคดีนี้ ยังมีคดีดังในลักษณะ “แชร์ลูกโซ่”อีกอย่างน้อย 6 คดี ดังนี้

แชร์ลูกโซ่ยูฟัน

เกิดขึ้นเมื่อปี 2557-2558 บริษัท ยูฟัน สโตร์ จำกัด บริษัทสัญชาติมาเลเซีย ถูกสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ยื่นดีเอสไอให้ตรวจสอบว่าอาจเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ พฤติการณ์ความผิดเป็นลักษณะชวนให้นำเงินมาลงทุน ตั้งแต่ 17,500 บาท จนถึง 1,750,000 บาท รวมทั้งการลงทุนแบบสมาชิกเน้นซื้อสกุลเงินที่ตั้งขึ้นเอง และเน้นซื้อสินค้าเพื่อพัฒนาตลาดแบบขยายทีม

เจ้าหน้าที่ออกหมายจับ พล.ท.อธิวัฒน์ สุ่นปาน ผู้บริหารยูฟันประจำประเทศไทย แต่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ คดีนี้มีผู้เสียหายทั้งหมด 2,451 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 356 ล้านบาท

ศาลอนุมัติหมายจับเครือข่ายยูฟัน ทั้งหมด 164 คน จับกุมไปแล้ว 94 คน ฟ้องต่อศาลรอบแรก 44 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างยื่นฟ้องต่อศาล ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2560 ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยคดีนี้ 22 คน ตั้งแต่ 12,255-12,267 ปี ยกฟ้องจำเลย 21 คน

แชร์แม่ชม้อย

เป็น คดีดังมากในอดีต ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2520-2528 นางชม้อย ทิพย์โส อดีตพนักงานขององค์การเชื้อเพลิง จัดให้มีระดมเงินอ้างว่าไปลงทุนในธุรกิจน้ำมัน กำหนดวิธีการเล่นให้ลงเงินเป็นทุนในการซื้อรถขนน้ำมัน คันละ 1.6 แสนบาท ต่อมามีคนมาลงเงินจำนวนมาก ก็แยกขายเป็นครึ่งคัน หรือ เป็น ล้อ โดยจะได้รับผลตอบแทนทันทีใน 15 วัน ในอัตราเดือนละ 6.5 % หรือปีละ 78 % จึงมีคนสนใจนับหมื่น

แต่แท้จริงแล้ว นางชม้อยนำเงินจากผู้ลงทุนรายหลังมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนรายแรก ๆ คล้ายงูกินหาง จนในที่สุดไม่สามารถนำเงินมาจ่ายได้ เพราะไม่มีผู้เล่นเพิ่มเติม นำไปสู่การจับกุมข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.ก.ว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 ที่รัฐบาลสมัยนั้นออกมาเพื่อจัดการกับขบวนการแชร์ลูกโซ่โดยเฉพาะ มีผู้เสียหายกว่า 16,000 ราย เข้าแจ้งความเอาผิดกับนางชม้อยและพวก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4.5 พันล้านบาท ขณะที่นางชม้อยกับพวกถูกตัดสินจำคุก 154,005 ปี

แชร์ชาร์เตอร์

แชร์ชาร์เตอร์ของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้าของบริษัท ชาร์เตอร์ อินเวสต์เมนท์ จำกัด ชักชวนให้คนนำเงินไปลงทุนซื้อสินค้าโภคภัณฑ์และเงินตราต่างประเทศมาเก็งกำไร ให้ผลตอบแทนถึงเดือนละ 9% สูงกว่าแชร์แม่ชม้อยถึง 2.5 % ทำให้มีคนแห่นำเงินมาลงทุน “ทำธุรกิจ” กับนายเอกยุทธจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นนายทหารกับนักการเมือง

วงแชร์นี้เติบโตสูงสุด เมื่อช่วงต้นปี 2527 แชร์แม่ชม้อยได้หยุดรับเงินชั่วคราว หลังถูกรัฐบาลเพิ่งเล็ง ทำให้มีเงินไหลเข้ามาที่แชร์ชาร์เตอร์จำนวนมาก แต่ก็คล้ายแชร์ลูกโซ่อื่น แรกๆ ก็สามารถจ่ายผลตอบแทนอันงดงามได้ แต่นานไปก็ใกล้ถึงทางตัน ต่อมากลางปี 2528 นายเอกยุทธหลบหนีออกนอกประเทศ หลังมีข่าวว่าจะถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง และกบฏ 9 กันยาทำให้วงแชร์สั่นคลอนอย่างรุนแรง ประกอบกับมีคดีที่นายทหารไปฟ้องร้องนายเอกยุทธจากกรณีเช็คเด้ง ทำให้ลูกแชร์ชาร์เตอร์นับพันคนเข้าร้องเรียนกับกองปราบปราม

เขาเดินทางกลับไทยเมื่อคดีขาดอายุความแล้ว กลับมาเป็นข่าวคราวอีกครั้งในกลางปี 2547 เมื่อได้เข้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์พร้อมกับอัมรินทร์ คอมันตร์ และประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เพื่อเจรจาทางการเมืองเพื่อขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมาถูกคนขับรถสังหารเมื่อเดือนมิถุนายน 2556

แชร์เสมาฟ้าคราม

แชร์เสมาฟ้าคราม เป็นการลงทุนกับธุรกิจบ้านจัดสรร ของ พรชัย สิงหเสมานนท์ เริ่มต้นแชร์ไม่นาน ก็มีแมลงเม่าบินเข้ามาเป็นเหยื่อ เป็นวงเงินหลักพันล้านบาท

พรชัย เจ้าของหมู่บ้านเสมาฟ้าคราม โครงการบ้านจัดสรรราคาถูก 700 ยูนิต บนเนื้อที่ 320 ไร่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จัดระดมเงินทุนนอกระบบขึ้น หลังธนาคารระงับการให้สินเชื่อกับโครงการ

เขาออกหุ้นแชร์เสมาฟ้าครามขึ้น โดยจะจ่ายดอกเบี้ยอย่างสูงให้กับผู้ลงทุน ยืนยันว่าจะใช้เงินทุนคืนภายใน 5-6 เดือน ปรากฎว่ามีประชาชนแห่มาลงทุนหลายพันล้าน เพราะมองว่าไม่มีความเสี่ยง

สมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ระบุไว้ในเฟซบุ๊กเพจว่า แชร์เสมาฟ้าครามโด่งดังสุดขีดเมื่อปลายปี พ.ศ 2529 จากการ “ลงทุน” 12,000 บาท รอ 2 ปี ได้เงิน 36,000 บาท การได้เงินไม่ใช่ได้ก้อนเดียว…ครั้งเดียว ลงทุนไปแล้วทุกเดือน จะได้ผลตอบแทนเดือนละ 1,500 บาท จนครบ 24 เดือน คิดเป็นผลกำไร 12.5% ต่อเดือน หรือ 150% ต่อปี เท่ากับว่า จ่ายเงิน 12,000 บาท รอ 2 ปี จะได้กำไรถึง 2 เท่าตัวคือ 24,000 บาท

แต่ต่อมาเพียง 2 ปี แชร์วงนี้ก็ล้มลง เพราะไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย โดยธนาคารเข้ามายึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ ส่วนนายพรชัยถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมาย

แชร์บลิสเชอร์

ก่อตั้งโดยบริษัท บลิสเชอร์อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ปี 2534 ดำเนินธุรกิจในรูปการจัดสรรวันพักผ่อนให้สมาชิกแบบเฉลี่ยสิทธิปีละ 4 วัน 4 คืน ตามชื่อโรงแรมหรือที่พักที่บริษัทกำหนดไว้ 14 แห่งทั่วประเทศ ในระยะเวลา 20 ปี โดยจะแบ่งสมาชิกออกเป็น 2 ประเภท หรือบัตรเงิน เสียค่าสมาชิก 30,000 บาท และ “บัตรทอง” เสียค่าสมาชิก 60,000 บาท

แต่ธุรกิจแท้จริงของบริษัทบลิชเชอร์ ไม่ใช่การรับสมัครสมาชิกธรรมดา แต่เป็นการให้ไปหาสมาชิกเพิ่มให้ครบจำนวน แล้วจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นตามจำนวนสมาชิกที่หาได้ ตั้งแต่ 20-45 เปอร์เซนต์ ซึ่งต่อมามีผู้เข้าร่วมธุรกิจนี้เกือบ 3,000 คน รวมเป็นเงินกว่า 2,000 ล้านบาท

แต่ที่สุด แชร์วงนี้ก็ล่มสลาย เพราะบลิสเชอร์ไม่มีสถานที่พักของตัวเอง แค่ทำสัญญากับบริษัทหนึ่งให้เป็นผู้จัดหาสถานที่พักให้ และโรงแรมหรือสถานที่พักก็ไม่สามารถรับลูกค้าตามสัญญากับบลิสเชอร์ได้ เป็นเพียงการลดราคาให้เท่านั้น

และในปี 2556 ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินให้จำคุกผู้เกี่ยวข้องกับแชร์บลิสเชอร์เป็นเวลา 120,945 ปี ขณะที่จำเลยบางส่วนยังคงหลบหนี

คดีหลอกสมาชิกจ่ายเงินเที่ยวญี่ปุ่น ขยายเครือข่ายไว ผู้เสียหายมาก

น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ซินแสโชกุน กรรมการบริหารบริษัทเวลท์เอฟเวอร์ (WealthEver) ถูกตำรวจจับกุม เมื่อเย็นวันที่ 12 เม.ย. 2560 ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน หลังสมาชิกบริษัทขายตรงสินค้าแห่งนี้ ตกค้างที่สนามบินสุวรรณภูมิ กว่า 1,000 คน เมื่อค่ำวันที่ 11 เม.ย. 2560 ภายหลังเดินทางมาที่สนามบินตามที่บริษํทนัดหมายว่าจะพาไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ตามกำหนดการในวันที่ 11-12 เม.ย. 2560

กลุ่มผู้เสียหายเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าทัวร์เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นราวคนละ 10,000-15,000 บาท ในจำนวนผู้เสียหายที่ตกค้างที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีทั้งกลุ่มที่เป็นสมาชิกขายตรงที่ได้รับแจ้งจากแม่ทีมกลุ่มขายตรงที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทัวร์ และกลุ่มที่ไม่ได้เป็นสมาชิก แต่ได้เสียค่าใช้จ่าย 9,730 บาท ผ่านการแนะนำของคนรู้จัก แต่ถูกบอกว่าไม่ใช่ค่าทัวร์ เป็นลักษณะซื้อสินค้า โดยการได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นบัตรกำนัลเสริม ไม่ใช่ค่าเที่ยว ขณะที่บางส่วนไม่ทราบข้อมูลรายละเอียดการเดินทาง การกระทำดังกล่าว นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรียกว่าเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคและเข้าข่ายธุรกิจแชร์ลูกโซ่

ตำรวจพบว่า น.ส.พสิษฐ์ เปลี่ยนชื่อนามสกุลมาแล้ว 10 ครั้ง เคยถูกแจ้งความคดีเกี่ยวกับทรัพย์ตั้งแต่ปี 2555-2559 รวม 6 คดี และมีหมายจับ 3 หมายจับ

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกกับบีบีซีไทยว่า กรณีบริษํทเวลท์เอฟเวอร์ สะท้อนให้เห็นว่ามีเครือข่ายมากพอสมควร และน่าจะมีการหาสมาชิกด้วยเวลาที่ไม่นาน

“ใช้กลุยทธ์เดิม แต่เปลี่ยนในเชิงรูปแบบ จากเดิมให้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์การขาย รถยนต์ ทอง แต่ครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ที่พาไปเที่ยวต่างประเทศ”

เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ว่าทั้งคนรวย คนจน ตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบที่ต่างกัน เช่น แชร์ลูกโซ่ยูฟัน ผู้เสียหายเป็นคนมีรายได้สูง รูปแบบที่ถูกหลอกจะเป็นธุรกิจทางการเงิน

ส่วนผู้เสียหายในกลุ่มที่ระดับรองลงมา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เคยได้รับร้องเรียนเรื่อง แชร์ฌาปนกิจ ผ่านการระดมทุนหนังสือพิมพ์ตำรวจพลเมือง ใช้วิธีให้คนสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์ จ่ายเงินไม่กี่พันบาท เมื่อเสียชีวิตจะได้เงิน 1 ล้านบาท ปรากฏว่า เมื่อมีคนเสียชีวิต แต่ไม่ได้เงินจริง

คดี Forex-3D มูลค่าความเสียหายเกือบ 2.5 พันล้าน

มหากาพย์คดี Forex-3D ก็เป็นคดีการหลอกลวงประชาชนที่เป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2562 ที่พัวพันกับบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก โดยมีการเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาร่วมลงทุนซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ (Forex) สร้างความเสียหาย ต่อประชาชนเป็นวงกว้าง มีผู้หลงเชื่อตกเป็นผู้เสียหาย 9,824 คน ความเสียหายเกือบ 2,500 ล้านบาท

คดี Forex-3D เกิดขึ้นจาก นายอภิรักษ์ โกฎธิ ที่ได้สร้างเว็บไซต์ www.forex-3D.com เป็นช่องทางในการโฆษณาชักชวนประชาชนทั่วไปให้นำเงินไปลงทุนซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ (Forex) โดยเสนอผลตอบแทนสูงถึงอัตรา 60-80% ของเงินผลกำไรที่ได้จากการเทรด Forex แต่ไม่ได้นำเงินไปลงทุนจริง

ไม่ใช่เพียงประชาชนทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อและพัวพันกับการลงทุนนี้ ยังมีผู้มีชื่อเสียง เช่น ดาราก็มีส่วนร่วมในการลงทุนด้วย ลักษณะการดำเนินการของเครือข่ายการลงทุนนี้ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับแชร์ลูกโซ่ โดยช่วงแรกมีการปันผลการดำเนินการเป็นปกติ ทว่า ในเดือน พ.ค. 2562 บริษัทเริ่มหยุดจ่ายเงินปันผลโดยอ้างว่ามีเงินจำนวนมากติดค้างอยู่ในระบบ

นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมผู้เสียหายจากการลงทุนเทรดเงินตราต่างประเทศ Forex-3D เข้ายื่นหลักฐานต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เพื่อให้เร่งรัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้รับเป็นคดีพิเศษในช่วงปลายปี 2562 เนื่องจากพฤติการณ์ของนายอภิรักษ์ ซีอีโอ Forex-3D เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน

นอกจากนี้ พนักงานอัยการ ยังได้ยื่นฟ้องบุคคลรวม 19 คน หนึ่งในจำนวนนั้นคือ น.ส. สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ นักแสดง ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ และฉ้อโกงประชาชน กรณีชักชวนลงทุน Forex-3D

บทความนี้ได้รับการปรับปรุงและเพิ่มเติมข้อมูลจากรายงานที่เผยแพร่มาแล้วเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2560

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากนิตยสารฟอร์บส์ไทยแลนด์

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว