ผู้หญิงอินเดียแทบทุกคนล้วนมีประสบการณ์ถูกลวนลาม หรือถูกคุกคามทางเพศในที่สาธารณะซึ่งมีผู้คนแออัด โดยคนร้ายมักฉวยโอกาสจับหน้าอก หยิกบั้นท้าย ใช้ข้อศอกแตะหน้าอก หรือเอาอวัยวะเพศมาถูกไถพวกเธอ
กีตา ปันดีย์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีในกรุงนิวเดลีเล่าว่าสมัยเป็นนักศึกษา เธอและเพื่อนต้องโดยสารรถเมล์และรถรางที่แน่นขนัดในเมืองโกลกาตา ทางภาคตะวันออกของอินเดีย และมักใช้ร่มเป็นอุปกรณ์ตอบโต้พวกโรคจิตเหล่านี้
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
ขณะที่ผู้หญิงอีกจำนวนมากเลือกใช้เล็บมือที่ยาวและแหลมคมในการข่วนพวกมือไว และบางส่วนใช้รองเท้าส้นเข็มจัดการคนพวกนี้
อย่างไรก็ดีมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและสะดวกในการพกพาและใช้สอยมากกว่า นั่นคือ “เข็มกลัดซ่อนปลาย”
นับตั้งแต่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1849 เข็มกลัดมีประโยชน์ใช้สอยมากมาย โดยเฉพาะในการแต่งตัวของผู้หญิง
นอกจากนี้ ผู้หญิงทั่วโลกยังใช้มันเป็นอาวุธต่อสู้กับภัยรายวันจากการถูกลวนลามและคุกคามทางเพศ
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หญิงอินเดียหลายคนใช้ทวิตเตอร์บอกเล่าเรื่องราวที่พวกเธอมักพกเข็มกลัดติดตัวไว้เสมอ และมันคืออาวุธจัดการพวกโรคจิตในสถานที่แออัดต่าง ๆ
หนึ่งในนั้นคือ ทีปิกา เชอร์กิลล์ ซึ่งเขียนเล่าเหตุการณ์ที่เธอใช้เข็มกลัดเล่นงานชายโรคจิตที่มักลวนลามเธอจนเข็ดขยาดไม่กล้าก่อเหตุกับเธออีก
นางเชอร์กิลล์ เล่าให้บีบีซีฟังว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ในระหว่างการโดยสารรถเมล์ไปทำงาน ตอนนั้นเธออายุราว 20 ปี ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นชายอายุประมาณ 45 ปี ที่มักใส่ชุดซาฟารีสีเทา ซึ่งเป็นชุดที่เจ้าหน้าที่รัฐนิยมใส่ เขาสวมรองเท้าแตะแบบเปิดนิ้วเท้า และถือกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยมใบหนึ่ง
“เขามักขึ้นมายืนข้างฉัน จากนั้นก็เอนตัวเอาเป้าถูไถหลังของฉัน และจะถลาใส่ฉันทุกครั้งที่รถเมล์เบรก”
ในตอนนั้น นางเชอร์กิลล์ซึ่งเป็นหญิงสาวขี้กลัว และไม่กล้าโวยวายจึงได้แต่นิ่งเงียบและทนถูกลวนลามอยู่หลายเดือน
แต่ในค่ำวันหนึ่ง “เขาเริ่มช่วยตัวเองและหลั่งใส่หัวไหล่ฉัน” เธอจึงตัดสินใจไม่ยอมอีกต่อไป
“ฉันรู้สึกสกปรก พอถึงบ้านฉันก็อาบน้ำอยู่นานมาก ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเล่าให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น” เธอบอก
“คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ และถึงขั้นคิดลาออกจากงาน แต่ฉันก็เกิดความคิดที่จะแก้แค้น ฉันอยากทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บตัวเพื่อสั่งสอนไม่ให้เขาทำแบบนี้กับฉันอีก”
ในวันต่อมา นางเชอร์กิลล์เปลี่ยนไปสวมรองเท้าส้นเข็มและพกเข็มกลัดติดตัว
“ทันทีที่เขามายืนอยู่ข้างฉัน ฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วใช้ส้นรองเท้าเหยียบไปที่นิ้วเท้าเขา เขาอ้าปากค้าง มันทำให้ฉันเป็นสุข จากนั้นฉันก็ใช้เข็มกลัดแทงเข้าที่แขนของเขาแล้วรีบลงจากรถ”
แม้นางเชอร์กิลล์จะนั่งรถเมล์สายเดิมอยู่ต่อไปอีกปี แต่เธอบอกว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอได้เจอเขา
เรื่องราวของนางเชอร์กิลล์น่าตกตะลึง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก
กีตา ปันดีย์ เล่าว่าเพื่อนร่วมงานในวัย 30 ปีเศษของเธอก็เคยถูกผู้ชายพยายามลวนลามบนรถประจำทางเที่ยวกลางคืนที่วิ่งระหว่างเมืองโกชิและเมืองบังคาลอร์
“ตอนแรกฉันไม่คิดอะไร เพราะมองว่ามันคืออุบัติเหตุ” เธอเล่า
แต่เมื่อเขาพยายามถูกเนื้อต้องตัวเธออีก หญิงสาวคนนี้ก็รู้ว่ามันคือความจงใจ และเข็มกลัดก็ช่วยเหลือเธอจากเหตุการณ์นี้
“ฉันจิ้มเขา แล้วเขาถอยไป แต่เขาพยายามซ้ำอีกหลายครั้ง และฉันก็เอาเข็มจิ้มเขากลับ จนในที่สุดเขาก็ล่าถอยไป ฉันดีใจมากที่มีเข็มกลัดติดตัว แต่ก็รู้สึกโง่นิดหน่อยที่ไม่ได้หันไปตบหน้าเขาสักฉาด” เธอกล่าว
“ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ ฉันกลัวว่าผู้คนจะไม่ช่วยฉันถ้าฉันร้องโวยวายขึ้นมา” หญิงสาวอธิบาย
เหล่านักกิจกรรมชี้ว่าความรู้สึกกลัวและอับอายเช่นนี้ของผู้หญิง ยิ่งส่งเสริมให้พวกลวนลามผู้หญิงได้ใจ และทำให้ปัญหาแพร่หลายมากขึ้น
การสำรวจทางออนไลน์ของคน 140 เมืองในอินเดียเมื่อปี 2021 พบว่า 56% ของผู้หญิงบอกว่าเคยถูกล่วงละเมิดและถูกคุกคามทางเพศขณะใช้บริการขนส่งสาธารณะ แต่มีเพียง 2% ที่เข้าแจ้งความกับตำรวจ
ผู้หญิงส่วนใหญ่บอกว่า เลือกจะจัดการเรื่องนี้เอง หรือพยายามไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือไม่ก็เดินหนีเพราะไม่อยากทำให้สถานการณ์บานปลายเป็นเรื่องใหญ่โต
ผู้หญิง 52% บอกว่าต้องละทิ้งโอกาสทางการศึกษาและการงานเพราะรู้สึก “ไม่ปลอดภัย”
กัลปานา วิศวนาถ ผู้ร่วมก่อตั้ง Safetipin องค์กรทางสังคมที่รณรงค์ให้พื้นที่สาธารณะมีความปลอดภัยสำหรับผู้หญิงกล่าวว่า “ความรู้สึกกลัวความรุนแรงทางเพศส่งผลกระทบต่อจิตใจและการไปไหนมาไหนของผู้หญิงมากยิ่งกว่าการกระทำจริงเสียอีก”
เธออธิบายว่า ความรู้สึกกลัวดังกล่าวทำให้ผู้หญิงต้องจำกัดตัวเอง และไม่มีสิทธิพลเมืองเท่าเทียมกับผู้ชาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้หญิงมากกว่าการถูกล่วงละเมิดทางเพศจริง
นางวิศวนาถชี้ว่า การคุกคามทางเพศต่อผู้หญิงไม่ใช่แค่ปัญหาในอินเดีย แต่ยังเป็นปัญหาระดับโลก โดยมูลนิธิทอมสัน รอยเตอร์ ได้สำรวจความเห็นของผู้หญิง 1,000 คนในลอนดอน นิวยอร์ก เม็กซิโกซิตี โตเกียว และไคโร พบว่า “เครือข่ายบริการขนส่งมวลชนคือแม่เหล็กดึงดูดผู้ก่อเหตุทางเพศ ซึ่งมักอาศัยความแออัดในชั่วโมงเร่งด่วนแอบล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว และไม่ก็ใช้เรื่องความเบียดเสียดเป็นข้ออ้างหากถูกจับได้
นางวิศวนาถบอกว่า ผู้หญิงในแถบลาตินอเมริกา และแอฟริกาก็พกเข็มกลัดเป็นอาวุธติดตัวเช่นกัน ขณะที่นิตยสาร Smithsonian รายงานว่า ผู้หญิงในสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 1900 ก็ใช้เข็มปักหมวกทิ่มผู้ชายที่เข้าใกล้พวกเธอมากเกินไป
แม้อินเดียมีสถิติติดอันดับต้น ๆ ของโลกในเรื่องการคุกคามทางเพศต่อผู้หญิงในที่สาธารณะ แต่ดูเหมือนว่าสังคมยังไม่ยอมรับว่านี่คือปัญหาใหญ่ของชาติ
นางวิศวนาถอธิบายว่าที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่เหยื่อเข้าแจ้งความน้อย จึงทำให้ไม่มีข้อมูลสะท้อนสถิติอาชญากรรมที่แท้จริง รวมทั้งยังเกิดจากอิทธิพลของภาพยนตร์ที่นำเสนอว่า การคุกคามทางเพศเป็นการเกี้ยวพาราสีผู้หญิงอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ร่วมก่อตั้ง Safetipin บอกว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในกรุงนิวเดลี มีการติดตั้งปุ่มขอความช่วยเหลือและกล้องวงจรปิดบนรถประจำทาง นอกจากนี้ยังมีการว่าจ้างคนขับรถผู้หญิง ตลอดจนการฝึกอบรมให้พนักงานขับรถใส่ใจความปลอดภัยของผู้โดยสารหญิงให้มากขึ้น และมีการส่งเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยประจำรถด้วย ขณะที่ตำรวจได้เปิดแอปพลิเคชัน และสายด่วนให้ผู้หญิงติดต่อขอความช่วยเหลือ
นางวิศวนาถชี้ว่า ปัญหานี้ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการสอดส่องของเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างความตระหนักรู้ให้สังคมเข้าใจว่าการลวนลามและคุกคามทางเพศผู้หญิงเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้
แต่กว่าจะถึงวันนั้น ผู้หญิงอินเดียหลายล้านคนคงจะต้องพกเข็มกลัดติดตัวกันต่อไป
หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว