ติ๊กตอก : โชว จื่อ จิว ชายสิงคโปร์วัย 40 ที่ไม่ให้ลูก ๆ ใช้แอปบริษัทที่เขาเป็นซีอีโอ

Getty Images โชว จื่อ จิว ซีอีโอของติ๊กตอก ต้องเผชิญกับการถูกรุกไล่ด้วยคำถามที่ตอบยาก จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ

ท่ามกลางมรสุมทางการเมืองลูกใหม่ที่กำลังโหมกระหน่ำเข้าใส่ “ติ๊กตอก” (TikTok) แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมจากจีน สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปที่ โชว จื่อ จิว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอ ผู้มีประวัติความเป็นมาที่ออกจะลึกลับเป็นปริศนาอยู่ไม่น้อย

นายจิวซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์วัย 40 ปี ได้ให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการพลังงานและการค้าของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อ 23 มี.ค. เกี่ยวกับความปลอดภัยทางด้านข้อมูลของแอปพลิเคชันติ๊กตอก รวมทั้งแนวปฏิบัติว่าด้วยความเป็นส่วนตัว และข้อกล่าวหาเรื่องสายสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน

ที่ผ่านมาสื่อมวลชนและผู้คนทั่วโลกแทบจะไม่รู้เลยว่า นายจิวบริหารกิจการของติ๊กตอกอย่างไร มีอำนาจอยู่ในมือมากน้อยแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้มีเพียงวาเนสซา ปัปปาส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของติ๊กตอก ที่คอยออกหน้าทำงานด้านมวลชนสัมพันธ์ จนถูกสมาชิกสภาคองเกรสเรียกไต่สวนเมื่อ ก.ย. ปีที่แล้ว ในประเด็นการรั่วไหลของข้อมูลจากสหรัฐฯ ไปสู่จีน

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับเดือน ก.ย. ของปีที่แล้ว รายงานโดยอ้างอิงคำพูดของอดีตผู้บริหารติ๊กตอกและบริษัทแม่ที่ประเทศจีน ซึ่งก็คือบริษัทไบท์แดนซ์ (ByteDance) โดยอดีตผู้บริหารคนดังกล่าวเผยว่า นายจิวมีอำนาจในการตัดสินใจอยู่จำกัด แต่นายจาง อี้หมิง ผู้ก่อตั้งไบท์แดนซ์กลับเป็นคนที่กุมบังเหียนการบริหารติ๊กตอกอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ภาวะวิกฤตของติ๊กตอกในขณะนี้ทำให้นายจิวจำต้องออกหน้าด้วยตนเอง เพื่อจัดการกับความหวาดระแวงสงสัยของสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างจะปักใจเชื่อไปแล้วว่า ติ๊กตอกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสืบความลับของสหรัฐฯ ให้กับรัฐบาลจีนอย่างแน่นอน

ในจดหมายชี้แจงที่นายจิวส่งถึงสภาคองเกรสเมื่อเดือนมิ.ย. ของปีก่อน เขาเน้นย้ำว่าติ๊กตอกมีการดำเนินงานที่เป็นอิสระจากไบท์แดนซ์ นายจิวยังระบุว่าตัวเขาไม่ใช่คนจีน แต่เป็นคนสิงคโปร์แท้ ๆ ที่อยู่อาศัยและทำงานในประเทศสิงคโปร์

สำหรับประวัติส่วนตัวของนายจิวนั้น เขาเกิดและใช้ชีวิตในวัยเยาว์ที่สิงคโปร์ โดยเข้าศึกษาที่โรงเรียนชั้นนำซึ่งมีการเรียนการสอนด้วยภาษาจีนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เขาสามารถใช้ทั้งภาษาจีนกลางและภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อตอนที่เขาถูกเรียกให้เข้าประจำการเป็นทหารเกณฑ์นั้น ยังมีผลงานดีเด่นจนได้เลื่อนยศเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรของกองทัพสิงคโปร์อีกด้วย

นายจิวสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (UCL) ที่สหราชอาณาจักร ก่อนจะเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจหรือเอ็มบีเอที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐฯ

จากนั้นเขามีโอกาสได้ฝึกงานกับสื่อสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก ขณะที่ยังเป็นเพียงบริษัทสตาร์ตอัปเล็ก ๆ เท่านั้น ต่อมาเขาเริ่มทำงานที่บริษัทการลงทุน DST จนมีประสบการณ์ถึง 5 ปี และมีโอกาสได้บริหารทีมงานที่เวลาต่อมากลายเป็นผู้ลงทุนรุ่นบุกเบิกของบริษัทไบท์แดนซ์ในปี 2013

นายจิวยังเคยทำงานเป็นวาณิชธนากรอยู่ 2 ปี ที่ธนาคารเพื่อการลงทุนโกลด์แมนแซกส์ จากนั้นเขาขยับขยายเข้ามามีบทบาทสำคัญในบริษัทเสียวหมี่ ผู้ผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนระดับยักษ์ใหญ่ของจีน โดยรับหน้าที่ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และประธานบริษัทฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ จนสามารถนำพากิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้เมื่อปี 2018

ในเดือนมี.ค. ปี 2021 นายจิวย้ายมาทำงานที่ไบต์แดนซ์ โดยรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินคนแรกของบริษัท แต่เพียงสองเดือนให้หลังเขาต้องโยกย้ายไปนั่งเก้าอี้ซีอีโอของติ๊กตอก หลังการลาออกอย่างกะทันหันของนายเควิน เมเยอร์ ซึ่งถูกรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บีบบังคับให้ยอมขายกิจการและทรัพย์สินทั้งหมดของติ๊กตอกในสหรัฐฯ แก่ทางการ

ความท้าทายอันใหญ่หลวง

เรื่องยากลำบากที่นายจิวต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงที่สุด นับตั้งแต่เขาได้ร่วมงานกับติ๊กตอกมา ตอนนี้บรรดาสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ขู่ว่า หากติ๊กตอกไม่ยอมขายกิจการหรือสละความเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่อยู่ในสหรัฐฯ เสียโดยเร็ว ก็จะต้องเจอกับมาตรการสั่งแบน ซึ่งทางการสหรัฐฯ อาจมีคำสั่งห้ามประชาชนใช้แอปพลิเคชันนี้โดยเด็ดขาด

ประเด็นทางการเมืองดังกล่าวได้ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาของจีนไปเช่นกัน หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ของทางการจีนตีพิมพ์บทความแสดงข้อคิดเห็นเมื่อวันอังคารที่ 21 มี.ค.ว่า ความพยายามที่จะสั่งแบนติ๊กตอกนั้นถูกขับเคลื่อนโดย “บรรยากาศทางการเมืองที่เป็นพิษของคนอเมริกัน” และการกระทำเช่นนี้อาจละเมิดหลักการของตลาดเสรีได้

“ในสายตาของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐชาวอเมริกันแล้ว การที่ติ๊กตอกมีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับจีนนั้น เรียกได้ว่าเป็นบาปกำเนิดกันเลยทีเดียว” โกลบอลไทมส์ระบุ

แต่ดูเหมือนว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นายจิวได้พยายามหาทางออกจากการที่เขาถูกทั้งจีนและสหรัฐฯ กดดันพร้อมกันทั้งสองฝ่าย โดยเขาเริ่มออกเดินสายเพื่อปรากฏตัวและให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายสำนักในสหรัฐฯ รวมทั้งออกงานสังคมอย่างพิธีเปิดการแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอล “ซูเปอร์โบวล์” และการแข่งขันบาสเกตบอลเอ็นบีเอ พบปะดาราคนดังอย่างบิล เมอร์เรย์ และร่วมเต้นรำด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ กับนักร้องสาว “เซียรา”

นอกจากนี้เขายังเปิดบัญชีติ๊กตอกของตนเองที่ @shou.time เพื่อให้ผู้คนได้เห็นและสัมผัสกับชีวิตส่วนตัวของเขาบ้าง โดยล่าสุดบัญชีนี้มีผู้ติดตาม 18,000 คนแล้ว การเปิดบัญชีติ๊กตอกและการเปิดใจกับสื่อ ได้เผยถึงเรื่องราวที่น่าสนใจในชีวิตส่วนตัวของเขาหลายเรื่อง ทั้งการที่เขาชอบเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งยังเป็นแฟนตัวยงของนักแสดงตลก เควิน ฮาร์ต

นายจิวสมรสกับวิเวียน เคา ซีอีโอของบริษัทด้านการลงทุนแห่งหนึ่ง โดยมีบุตรด้วยกันแล้วสองคน เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่อนุญาตให้ลูก ๆ ใช้แอปพลิเคชันติ๊กตอกเพราะ “พวกเขายังเด็กเกินไป”

เห็นได้ชัดว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและสาธารณชนชาวอเมริกันของซีอีโอติ๊กตอกนั้น ล้วนทำไปเพื่อเอาชนะใจผู้คนและตอกย้ำให้การรับประกันว่า แอปพลิเคชันสัญชาติจีนนี้จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ อย่างแน่นอน

ก่อนขึ้นให้การต่อรัฐสภา สหรัฐฯ นายจิวเผยแพร่คลิปวิดีโอที่เขาขอให้ผู้ใช้งานติ๊กตอกบอกถึงสิ่งที่อยากจะพูด กับบรรดาผู้แทนในสภาของพวกเขา โดยหวังว่าเสียงประชาชน จะช่วยโน้มน้าวใจให้รัฐบาล ฉุกคิดเรื่องแผนการแบนติ๊กตอกได้

“นี่คือคำขอสำหรับช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งยวดสำหรับเรา เพราะเหตุการณ์นี้อาจพรากติ๊กตอกไปจากผู้ใช้งานอย่างพวกคุณ ซึ่งตอนนี้มีกันทั้งหมดถึง 150 ล้านคนทั่วโลก”

หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว