เอฟ-35: เครื่องบินรบที่ไทยอยากได้ แต่การตัดสินใจอยู่ที่สหรัฐฯ

ย้อนกลับไปงานสิงคโปร์แอร์โชว์ หรืองานแสดงอากาศยานนานาชาติที่สิงคโปร์ ระหว่าง 15-18 ก.พ. 2565 ได้ต้อนรับบุคคลสำคัญในแวดวงการบินพลเรือนและทหารมากมายจากชาติในเอเชียและแปซิฟิก

หนึ่งในนั้นคือคณะของ พล.อ.อ. นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศของไทย ผู้ประกาศความประสงค์ที่จะจัดหาเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 มาทดแทนเครื่องบินขับไล่รุ่นเก่าของกองทัพอย่าง เอฟ-5 และ เอฟ-16

สื่อมวลชนไทยเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อ. นภาเดช เมื่อ 31 ธ.ค. 2564 ว่า ไทยควรรีบซื้อในขณะนี้ ในช่วงที่ราคาเครื่องบินลดลงจากเดิมที่ 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ลำ ลงมาเหลือ 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ลำ

ไม่กี่วันหลังคำให้สัมภาษณ์ของ ผบ.ทอ. เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2565 คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 13,800 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องบินขับไล่จำนวน 4 ลำ ทว่าไม่ได้มีการระบุว่าจะเป็นเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 ของล็อกฮีด มาร์ติน หรือไม่

ทิม คาฮิล รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจของล็อกฮีด มาร์ติน บริษัทผู้ผลิตอากาศยานและยุทโธปกรณ์สัญชาติอเมริกัน กล่าวที่งานสิงคโปร์แอร์โชว์เมี่อ 16 ก.พ. 2565 ว่ารัฐบาลไทยได้ยื่นความประสงค์ในการขอซื้อเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 จริง ทว่า “ยังไม่มีอะไรเป็นทางการ” ในเวลานั้น

คาฮิล ชี้ว่า “อำนาจการตัดสินเรื่องนโยบายเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ” พร้อมเสริมว่า “ผมมองว่ามันมีโอกาสอยู่ แต่ผมไม่รู้จริง ๆ ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะตัดสินใจอย่างไร”

ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ แถลงว่าจะยังไม่มีการยืนยันหรือแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งสิ้นจนกว่าเรื่องจะเข้าสู่รัฐสภา

ทว่า ล่าสุด วันที่ 23 พ.ค. 2566 สื่อมวลชนรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากกองทัพอากาศว่า สหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ขายเครื่องบินขับไล่ F-35 ให้กับกองทัพอากาศไทย หลังจากที่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทูตสหรัฐอเมริกาเข้าพบ พล.อ.อ. อลงกรณ์ วัณณรถ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เพื่อชี้แจงความคืบหน้า โครงการจัดซื้อ F-35A ของกองทัพอากาศ ที่ร้องขอไปยังสหรัฐอเมริกา

สำหรับสาเหตุเบื้องต้นที่สหรัฐฯ ยังไม่ขายให้และขอชะลอการซื้อขายไปก่อน เพราะต้องการให้กองทัพอากาศไทยมีความพร้อมในเรื่องอาคารสถานที่รักษาความปลอดภัย และสหรัฐฯ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ รวมไปจนถึงเรื่องข้อมูลข่าวสารด้วย

อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแต่ต้องคืนงบ 369 ล้านบาท ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566

ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไม่แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ หลังจากผู้สื่อข่าวจากทำเนียบรัฐบาลสอบถามในวันที่ 24 พ.ค. 2566

ย้อนอ่านเหตุผลใด ทำไม สหรัฐฯ จึงสงวนท่าที

เครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 เป็นหนึ่งในเครื่องบินรบที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก และนับจนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ตัดสินใจขาย เอฟ-35 ให้กับกองทัพของประเทศที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดเท่านั้น

ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มีเพียงแค่ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เท่านั้น ที่ได้ครอบครอง เอฟ-35

เอียน สตอเรย์ นักวิจัยอาวุโส จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (ISEAS) ในสิงคโปร์ กล่าวกับ เว็บไซต์เรดิโอฟรีเอเชีย (Radio Free Asia – rfa) องค์กรข่าวที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐสภาอเมริกัน ว่า แม้ไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับคำขอซื้อของกองทัพ “แต่สหรัฐฯ ยังคงกังวลว่าเทคโนโลยีอ่อนไหวในเครื่องบินรบอาจถูกกองทัพไทยถ่ายโอนให้กับจีนได้”

ในรายงานของ rfa ริชาร์ด บิตซิงเกอร์ นักวิจัยอาวุโสด้านการปฏิรูปกองทัพ จากสถาบันการศึกษาการป้องกันและยุทธศาสตร์ (RSIS) ในสิงคโปร์ ยกตัวอย่างด้วยว่า ความกังวลในทำนองเดียวกันเคยทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจปฏิเสธคำของซื้อเครื่องบินรบ เอฟ-35 จากรัฐบาลตุรกีเช่นเดียวกัน เนื่องจากตุรกี “สนิทสนมกับรัสเซียมากเกินไป”

แถลงการณ์จากทำเนียบขาวในเวลานั้นระบุว่า “เอฟ-35 ไม่อาจอยู่ร่วมบนแพลตฟอร์มเดียวกับหน่วยสืบราชการลับของรัสเซียที่คอยจะเรียนรู้ความสามารถขั้นสูง [ของยุทโธปกรณ์] ได้”

บิตซิงเกอร์ชี้ว่า ที่ผ่านมากองทัพไทยได้จัดซื้อยุทโปกรณ์จำนวนมากจากจีน อาทิ เรือรบ เรือดำน้ำ รวมไปถึงรถถัง “ซึ่งไปเพิ่มความกังวลให้กับ [รัฐบาลสหรัฐฯ] ต่อประเด็นความอ่อนไหวทางเทคโนโลยีของ เอฟ-35”

“ผมไม่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะเชื่อใจไทยขนาดนั้น” บิตซิงเกอร์ ชี้

F-35B Lightning II jet in flight

UK Ministry of Defence
เอฟ-35 บี

นักวิชาการไทยว่าอย่างไร

ศาสตราจารย์ ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS) กล่าวกับบีบีซีไทยเมื่อเดือน ก.พ. 2565 ว่า รัฐบาล และรัฐสภาของสหรัฐฯ จะอนุมัติขายให้ไทยหรือไม่เป็นเรื่องที่พูดยาก ถ้าทางสหรัฐฯ นำเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและความไม่เป็นประชาธิปไตยของไทยมาเกี่ยวข้อง ก็คงผ่านยาก แต่ที่แน่นอนคือ เอฟ-35 ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงไทย ถ้าไทยต้องการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่เพิ่มขึ้น น่าจะพิจารณาซื้อกริพเพน (Gripen) ของสวีเดนที่กำลังใช้อยู่ หรือถ้าจะเปลี่ยนเป็นแนวของสหรัฐฯ ก็ควรซื้อ เอฟ-15 ที่ถูกกว่ามากและน่าจะเหมาะกว่า หรือแม้กระทั่งเครื่องบินขับไล่ ราฟาล (Rafale) ของฝรั่งเศสก็น่าจะเหมาะกว่าสำหรับยุทธศาสตร์ไทย ดูตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออินโดนีเซียที่กำลังพิจารณา ระหว่าง เอฟ-15 กับ ราฟาล

“เอฟ-35 มีอะไรคล้ายกับการซื้อเรือดำน้ำ เป็นของแพง ดูโก้ เท่ แต่ไม่สมเหตุสมผลกับยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศไทย”

ศาสตราจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่า แนวคิดเรื่องภัยความมั่นคงของไทยต่างจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ต่างมี เอฟ-35 ไว้ในครอบครอง เนื่องจากไทยมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน และไม่มีปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เขาเห็นว่าภัยความมั่นคงใหญ่ของไทยคือความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่แบ่งเป็นฝักฝ่ายมากว่าสองทศวรรษ รวมทั้งเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด


กลาโหมไทย ชี้ถึงความจำเป็น

พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 31 พ.ค. 2565 เรื่องงบการจัดหาเครื่องบิน F-35 หลังจากนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายตอนหนึ่งถึงงบประมาณกระทรวงกลาโหม ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า กองทัพอากาศมีภารกิจสำคัญในการรักษาอธิปไตยเหนือน่านฟ้าของไทย โดยเครื่องมือสำคัญ คือ เครื่องบินที่ส่วนใหญ่ขีดความสามารถถูกจำกัด เนื่องจากใช้งานมานาน บางเครื่องใช้มา 41 ปี เฉลี่ยที่มีอยู่ปฏิบัติภารกิจมาแล้ว 28 ปี จึงจำเป็นต้องทยอยปลดประจำการ เนื่องจากไม่สามารถหาชิ้นส่วนอะไหล่มาซ่อมบำรุงได้ หรือซ่อมบำรุงแล้วไม่คุ้มค่า มีแผนปลดประจำการระหว่างปี 2564-2574 หากไม่จัดหาทดแทน กองทัพอากาศจะมีเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจ

“การจัดหาเครื่องบินสกัดกั้นโจมตีนั้น ไม่ใช่ว่ามีความต้องการแล้วจะจัดหาได้เลย การดำเนินการต้องใช้เวลาประมาณ 3 ปีเศษถึงจะได้เครื่องบินมา นอกจากนั้นต้องมีการฝึกกำลังพล ฝึกนักบิน ที่จะมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจอีก 1 ปี เพราะฉะนั้น กองทัพอากาศได้มีการวางแผนจัดหาเป็นระยะ ๆ ตามกรอบงบประมาณที่มีอยู่”

รมช. กลาโหม ชี้แจงด้วยว่า ข้ออ้างของ ส.ส. ที่กล่าวว่าใช้งบประมาณ 13,800 ล้านบาท แท้จริงแล้วใช้งบประมาณในภาพรวม 7,382 ล้านบาท โดยในปี 2566 ใช้ขั้นต้นคือ 738 ล้านบาทเท่านั้น

ตกในทะเลจีนใต้

ความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อการรั่วไหลของเทคโนโลยีขั้นสูงใน เอฟ-35 ยังเห็นได้จากเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปลายเดือน ม.ค. 2565

เครื่องบินรบเอฟ-35 ซี ที่มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของกองทัพเรือสหรัฐฯ “เกิดอุบัติเหตุ” ระหว่างการบินขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส คาร์ล วินซัน (USS Carl Vinson) ก่อนตกลงไปในทะเลจีนใต้

ไม่เพียงแค่ เอฟ-35 ซี จะเป็นหนึ่งในเครื่องบินรุ่นใหม่ที่สุดของกองทัพเรือ แต่ยังเป็นเครื่องบินรบที่เต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ลับสุดยอดเช่นกัน

เมื่อแหล่งรวมเทคโนโลยีขั้นสูงตกลงไปกลางทะเลนานาชาติ ใครเก็บกู้ได้ก่อนก็ย่อมได้เทคโนโลยีในนั้นไปครอง

ขณะที่กองทัพเรือของสหรัฐฯ เลือกจะไม่เปิดเผยตำแหน่งที่ เอฟ-35 ซี จมลง หรือระยะเวลาคาดการณ์ในการกู้คืน ฝั่งโฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนออกมาแถลงว่า “เราไม่ได้สนใจเครื่องบินรบของพวกเขา”

ทว่าผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ กล่าวว่ากองทัพจีนย่อม “กระตือรือร้นอย่างมาก” ในการครอบครองเครื่องบินรบลำนั้น

อะบี อัสเต็ม ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการรุกรานชี้ว่า “มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่สหรัฐฯ จะต้องกู้ซากกลับมาให้ได้” เธอยังเสริมด้วยว่า “เอฟ-35 ก็คือคอมพิวเตอร์บินได้ดี ๆ นี่เอง”

The US Navy variant of the F-35 Joint Strike Fighter, the F-35C

Getty Images
เครื่องบินรบเอฟ-35 ซี

ยูเออีซื้อฝรั่งเศสแทน หลังสหรัฐฯ กดดันเรื่องจีน

แม้ เอฟ-35 เต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าล็อกฮีด มาร์ติน จะไม่มีคู่แข่งแต่อย่างใด อีกทั้งการกดดันหรือกีดกันทางการค้าจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกครั้งไป

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ตัดสินใจชะลอแผนสั่งซื้อ เอฟ-35 จำนวน 50 ลำ ที่คิดเป็นมูลค่าถึง 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.38 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลเลือกจะสานสัมพันธ์ทางธุรกิจด้านเทคโนโลยี 5G กับบริษัทหัวเว่ยของจีนต่อไป

ก่อนหน้านี้ ในช่วง พ.ย. 2564 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในกฎหมายที่ระบุว่าหัวเว่ยเป็นภัยด้านความมั่นคงต่อสหรัฐฯ

ในจดหมายที่ส่งถึงกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยูเออี ระบุว่าขอถอนคำสั่งซื้อเครื่องบินรบ เอฟ-35 จำนวน 50 ลำ และขอระงับการเจรจาอย่างไม่มีกำหนด ยูเออี จะหันไปสั่งซื่อเครื่องบินรบราฟาลจากฝรั่งเศสแทน

ความสัมพันธ์ระหว่างหัวเว่ยและยูเออี ขึ้นมาเด่นชันในช่วงเดือน ต.ค. 2562 เมื่อซารีม อัลบลูชี ประธานผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของหัวเว่ย แถลงความร่วมมือระหว่างหัวเว่ย กับบริษัทโทรคมนาคมของ ยูเออี ในการวางแผนพัฒนาเครือข่าย 5G

อย่างไรก็ดี ยูเออี ยังได้ประโยชน์ด้านการค้าน้ำมันจากจีนเช่นเดียวกัน ข้อมูลจาก IHS Markit และฐานข้อมูลการค้าของสหประชาชาติพบว่า ยูเออี อยู่ในลำดับ 10 ของประเทศที่จีนน้ำเข้าน้ำมันระหว่างปี 2558-2562

ทว่าหากมองในมิติของภูมิภาค จะพบว่าประเทศทั้งหมดในคาบสมุทรอาหรับล้วนเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ให้กับจีนทั้งสิ้น

ในปี 2563 ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของยูเออี มีมูลค่า 3.58 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนนั้น เม็ดเงินราว 61,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากอุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ

ยูเออี ยังเป็นประเทศสมาชิกขององค์กรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนับเป็นประเทศชายฝั่งขนาดเล็กของอ่าวเปอร์เซียที่มีความมั่งคั่งสูง ข้อมูลจากธนาคารโลกพบว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของ ยูเออี ในปี 2563 อยู่ 66,771 ดอลลาร์สากล (current international dollar) มากกว่าสหราชอาณาจักรที่อยู่ในระดับ 46,482 ดอลลาร์สากลเท่าน้ัน

ตามจดหมายที่ส่งถึงกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ข้อตกลงซื้อ เอฟ-35 ยังไม่ถูกปัดตกไปทั้งหมด แต่อยู่ในสภาวะที่เปราะบางอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงว่าความร่วมมือของสหรัฐฯ และยูเออี ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าแค่การซื้อขายยุทโธปกรณ์ธรรมดา

ด้านตัวแทนจากกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ชี้ว่า “เราหวังว่าเราจะหาทางออกในปัญหาที่มีอยู่ร่วมกันได้”

ฉากหลังเป็นตึกระฟ้าสัญลักษณ์ของนครดูไบ ข้างหน้ามีผู้หญิงมุสลิมเดินผ่าน

Getty Images
นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ชาติในเอเชีย-แปซิฟิก มี เอฟ-35 มากแค่ไหน

เมื่อ 27 ต.ค. 2564 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกว่า “เรามองเห็นอินโด-แปซิฟิกทั้งเปิดกว้าง เชื่อมโยง มั่งคั่ง และมั่นคง และเราพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพวกท่านแต่ละคนเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น”

ในเอกสารข้อเท็จจริง: ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา ช่วงที่กล่าวถึงความมั่นคง ยังมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า “เราจะสร้างเสริมความมั่นคงของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยใช้อำนาจทุกรูปแบบที่มี เพื่อยับยั้งการรุกรานและเพื่อตอบโต้การบีบบังคับ”

เมื่อย้อนกลับดูกองทัพที่ครอบครองเครื่องบินรบ เอฟ-35 ซี จะพบความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ได้ไม่ยาก

ตามข้อมูลจาก Aviation International News ออสเตรเลียสั่งซื้อเครื่องบินรบเอฟ-35A ไปทั้งหมด 72 ลำ มีการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ไปแล้ว 44 ลำ ในช่วงปลายปีที่แล้วกองทัพอากาศออสเตรเลียคาดว่าจะมีการส่งมอบฝูงบินเอฟ-35 ครบถ้วนภายในสิ้นปี 2566 ทั้งยังวางแผนที่จะซื้อเพิ่มในอนาคต

ด้านญี่ปุ่นซึ่งต้องเผชิญหน้ากับความพยายามขยายอนาเขตของจีน ตัดสินใจสั่งซื้อ เอฟ-35 เพิ่มทั้งสิ้น 105 ลำ เมื่อ ธ.ค. 2561 ในจำนวนนั้น แบ่งเป็น เอฟ-35 เอ 63 ลำ และ เอฟ-35 บี STOVL อีก 42 ลำ ก่อนคำสั่งซื้อดังกล่าว ญี่ปุ่นมี เอฟ-35 เอ ในครอบครองอยู่แล้ว 42 ลำ

ขณะที่เกาหลีใต้ซึ่งสั่งซื้อ เอฟ-35 เอ 40 ลำ ไปในปี 2557 และรัฐบาลอนุมัติให้ซื้อเพิ่มอีก 20 ลำไปแล้ว ก็กำลังตัดสินใจสั่งจะซื้อ เอฟ-35 บีเพิ่มเติมด้วย

สิงคโปร์กลายมาเป็นประเทศล่าสุดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่ได้ครอบครอง เอฟ-35 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการสั่งซื้อใน เอฟ-35 บี จำนวน 12 ลำ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติคำสั่งซื้อดังกล่าวเมื่อเดือน ม.ค. 2563 และจะมีการส่งมอบกันในปี 2569

Graphic showing specifications of F-35A Lightning II

BBC

หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว