โบนิต้า
“เพชร” เครื่องประดับที่มีเสน่ห์และมีคุณค่าทางจิตใจ ไอเท็มช่วยเสริมบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะสาวๆ เครื่องเพชรเป็นชิ้นสำคัญที่ต้องมีไว้ครอบครอง แถมยังสนใจซื้อเพชรเพื่อการลงทุนมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเป็นเพชรน้ำงามและเม็ดโต มูลค่าก็ขยับสูงขึ้นไปอีก
แต่คงมีอีกหลายคนที่สงสัยว่าเลือกเพชรนั้นจำเป็นต้องมีความรู้อะไรบ้างเพื่อให้ได้เพชรที่ดีที่สุดไว้ครอบครอง “JUBILEE DIAMOND” (ยูบิลลี่ ไดมอนด์) แบรนด์เพชรชั้นนำที่อยู่คู่ชาวไทยมาถึง 89 ปี มีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับหลักการเลือกซื้อเพชร ที่เรียกว่า “4Cs” (Carat, Color, Clarity และ Cutting) มาฝาก
1. Carat
กะรัต คือ หน่วยวัดน้ำหนักเพชร ซึ่ง 1 กะรัต เท่ากับ 100 สตางค์ หากเป็นเพชรทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง (Diameter) ของเพชร 1 กะรัต จะประมาณ 6 มิลลิเมตร (เกินครึ่งเซนติเมตรเล็กน้อย) โดยเพชรขนาดที่เหมาะสมสำหรับแหวนเพชรเม็ดเดียว (Solitaire Ring) สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เพชรขนาด 10 สตางค์ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นขนาดเริ่มต้นที่กำลังพอดีสำหรับผู้ที่เริ่มต้นการสวมใส่เครื่องประดับเพชร
2. Color
เพชรธรรมชาตินั้นมีหลากหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงิน แต่กลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ กลุ่มเพชรที่ใสไร้สี ซึ่งเพชรที่ไร้สีถือเป็นเพชรที่ดีที่สุด โดยคนไทยจะเรียกความใสของเพชรว่า “น้ำ” ความใสของเพชรที่ดีที่สุด คือ D color หรือ “เพชรน้ำ100” ไล่ไปจนถึง Z color ซึ่งจะเริ่มเห็นการเจือปนของสีอื่นๆ ในเพชรมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสีเหลือง วิธีดูสีของเพชรว่าขาวใสระดับใด สามารถดูได้ด้วยตนเองโดยคว่ำหน้าเพชรลงบนกระดาษขาว สังเกตสีที่ก้นเพชรจะเป็นตำแหน่งที่ชัดเจนที่สุด โดยในส่วนเพชรที่เหมาะแก่การนำไปทำเครื่องประดับเริ่มตั้งแต่ระดับ J color ขึ้นไป
3. Clarity
ความสะอาด หรือตำหนิภายในและภายนอกตามธรรมชาติ ที่ไม่สามารถลบออกได้ เพชรที่ดีที่สุดต้องมีตำหนิน้อยที่สุดหรือแทบไม่มีเลย ซึ่งระดับเพชรที่สะอาดมากที่สุด เรียกว่า IF (Internally Flawless) คือ ไม่มีตำหนิในเนื้อเพชรเลย เพชรระดับที่เหมาะกับการใส่เป็นเครื่องประดับ เริ่มตั้งแต่ความสะอาด VS ขึ้นไป หากคุณซื้อเพชรที่มีใบ Certificate มาตรฐานระดับโลกจากสถาบัน HRD หรือ GIA ในใบ Certificate นั้นจะระบุตำแหน่งของตำหนิเพชรไว้อย่างชัดเจน ทำให้คุณสามารถมั่นใจได้ว่า คุณได้เลือกซื้อเพชรที่ตรงตามคุณภาพอย่างแท้จริง
4. Cutting
การเจียระไน ทำให้เพชรเป็นประกายระยิบระยับ เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุดมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1. สัดส่วนเพชรจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด จะทำให้ประกายของเพชรสะท้อนขึ้นมาด้านบนกระทบกับตามากที่สุด
2. คุณภาพการขัดเงา เหลี่ยมเจียระไนที่ดีจะทำให้เพชรเม็ดนั้นส่องประกายที่ดีแวววาวและสวยงาม
3. ความสมมาตร คือการเจียระไนที่ทำให้เหลี่ยมเพชรทุกๆ เหลี่ยมได้สัดส่วน ขนาดเท่ากัน จะมีผลทำให้เพชรมีการสะท้อนประกายได้ระยิบระยับมากที่สุด
หากครบทั้งสามข้อนี้จะได้ระดับ Excellent หรือตามมาตรฐานการให้เกรดคุณภาพเพชรระดับโลก ทั้งจากสถาบัน HRD หรือ GIA จะนิยมเรียกว่า เพชรระดับ Triple Excellent
รู้เเบบนี้เเล้ว สาวๆ หนุ่มๆ ที่กำลังมองหาเพชรคู่ใจก็อย่าลืมนำไปปรับใช้กันนะ