ฉลาดเกมส์โกง” บันเทิงครบรส ระทึกเยี่ยงหนังจารกรรม สะท้อนการศึกษาไทยได้เจ็บแสบ

 

“ฉลาดเกมส์โกง” เป็นหนังที่ใช้ต้องพลังในการดูสูงมาก แต่ละฉากบีบคั้น กดดัน ทำเอาหลายคนแอบจิกเบาะ บีบกล่องป็อปคอร์นจนบุบแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฮ่าๆ นี่สาบานว่ากำลังดูหนังเด็กนักเรียนโกงข้อสอบกันใช่มั้ย!!! กับการประโคมดนตรี-ซาวด์ประกอบ-กำกับภาพ และจังหวะตัดต่อที่แม่นยำ พอทุกส่วนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะเจาะ หนังจึงบีบหัวใจคนดูได้ดีเหลือเกิน

ไม่เพียงแต่ความสนุก ตื่นเต้น หนังยังจิกกัดและท้อนระบบการศึกษาไทย ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การคอร์รับชั่น รวมถึงค่านิยมของเด็กสมัยนี้ได้เฉียบมาก บางคนเรียนหนังสือเพราะ “ถูกสั่งให้เรียน” เพื่อมีดีกรี ความสำเร็จติดตัวไปเข้ามหาลัยดีๆ เป็นหน้าตาของครอบครัว แต่กับบางคน เรียนเพื่อ เปิดประตู “โอกาส” บานที่ถูกปิดไว้ด้วยข้อจำกัดทางฐานะ มีคนข้างหลังต้องดูแล ต่อลมหายใจครอบครัวแบบวันต่อวัน “การศึกษา” ในหนังเรื่องนี้ จึงเหมือนเครื่องชี้วัดความต่าง และต้นทุนของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน

นอกจากประเด็นดี หนังยังท้าทาย เล่นกับสามัญสำนึก ศีลธรรมกับคนดูไปพร้อมๆ กับตัวละครทั้ง 4 เราเชื่อว่าเราทุกคนต่างเป็นสีเทาๆ กันหมด เคยทำผิด ทุจริตต่อตัวเอง ต่อคนอื่น น้อยมากเหลื่อมล้ำกันไป ในซีนที่ตัวละครโดนต้อนจนมุม เราจึงถูกผลักให้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตัวละคร ทั้งกดดันและเอาใจช่วย ทั้งที่นั่นเป็นการกระทำที่ผิด และย้อนกลับมาถามตัวเองไปพร้อมกันว่า? หากเป็นเราแล้ว จะตัดสินใจอย่างไร

หนังยังบี้เรื่องศีลธรรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ซีน คนเราแม้ขาวสะอาดแค่ไหน เมื่อลองที่จะทำผิดครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆ มาก็เกิดขึ้นอีกไม่ยาก เป็นผลจากการเซ็ตปมตัวละคร และสถานการณ์บีบบังคับที่ดีมาก ฉากปะทะอารมณ์ของตัวละครก็เดือดดาลจริงๆ ซีนการซักซ้อมโกงข้อสอบนี่อารมณ์ประมาณหนังวางแผนจารกรรมเลย ไม่น่าเชื่อว่าหนังโกงข้อสอบ ฉากฝนกระดาษคำตอบจะระทึก และพาตัวเองมาไกลขนาดนี้ ทั้งความสนุก และประเด็นทางสังคม โดยเฉพาะเลเวลความตื่นเต้น ที่ไล่ระดับตั้งแต่สนามสอบเล็ก จนเวทีใหญ่ระดับโลก

หนังใช้ตัวละครน้อย แต่ดีไซน์คาแรกเตอร์มาดี เด็กฉลาด สาวกิจกรรมที่เรียนไม่เก่ง ลูกเศรษฐีที่ใช้เงินซื้อทุกอย่าง และอัจฉริยะที่ซื่อสัตย์ เถรตรงเป็นไม้บรรทัด ซึ่งคาแรกเตอร์แต่ละคนมันลงตัว และส่งผลกระทบชิ่งหากันหมด ทุกตัวละครค่อยๆ มีพัฒนาการ เปลี่ยนแปลง และเจอจุดเปลี่ยนอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะนางเอก “ออกแบบ” แคสติ้งดีมาก หน้าตาฉลาดแกมโกง ขับการแสดงทางอารมณ์ สีหน้าออกมาเยอะมาก และตัวละคร เกรซ ที่เดาทางไม่ออกเลยว่าตัวละครนี้จริงใจ และที่เซอร์ไพรส์มากคือการได้เห็น เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่ถ่ายทอดหัวอกคนเป็นพ่อ และครูชั้นผู้น้อยได้อย่างน่าชื่นชม

หนังทำให้เราเห็นว่า ตลอด 130 นาที 4 ตัวละครหลักแสดงความสามารถ ศักยภาพความเก่ง ความถนัดของตัวเองออกมากันหมด ถ้าสังเกตดีๆ แต่ทุกคนเอามาใช้ผิดที่ผิดทางกันหมด โดยเฉพาะ เกรซ ที่น่าเสียดายมาก

อีกจุดเด่นที่ชอบคือ “สี” ในหนังที่สวยมาก มู้ดโทนประมาณหนังย้อนยุคเก่าๆ บวกกับคอสตูม โลเคชั่น ที่แย่งซีนความสนใจจากหนังได้ตลอด และหากช่างสังเกตกัน หนังใส่สัญญะทางภาพเอาไว้มากมาย เป็น Easter Egg ให้ได้จับผิดกันเล่นๆ แต่หากไม่เห็นก็ไม่มีผลอะไรกับเรื่องเลย เช่น โรงพิมพ์ซื่อตรงพาณิชย์ บ้านของเกรซ ที่เป็นบ้านงานของภารกิจโกงครั้งใหญ่ในช่วงท้าย

แม้หลายๆ ซีนจะไม่สมเหตุสมผลไปมาก แต่หลายคนก็คงปิดตาข้างเดียวมองข้ามไปแล้ว ไม่ว่ามันจะเว่อร์ขนาดไหน เพราะหนังได้ความสนุก การเล่าและปมคอนฟลิกซ์ที่ดี และจังหวะบีบคั้น กดดันคนดูมาทดแทน จนสามารถปิดรูโหว่ของบาดแผลตรงนี้ไปได้ ถึงบทสรุปจะตามสูตร GDH แต่เป็นบทสรุปที่ตั้งคำถามกับคนดูได้ดีทีเดียว

หนังไทยมันต้องอย่างงี้สิ ขอปรบมือให้เลย