
เป็นอีกตัวแปรความสำเร็จ ที่มาร์เวลหา Genre หรือแนวหนังที่ใช่ แล้วใส่ลงไปในหนังแต่ละเรื่อง ชัดๆ เลยก็ “Captain America : The Winter Soldier” ที่มีปมทางการเมืองสุดเข้มข้น หรือ “Ant Man” ก็ประสบความสำเร็จจากการผสมแนวจารกรรมลงไป ทำให้เป็นหนังฮีโร่ที่สดใหม่มาก แม้กระทั่ง Dr.Strange เองก็มีกลิ่นอายหนังทริลเลอร์ ที่โดดจากหนังเรื่องอื่นๆ ในจักรวาลมาร์เวล โดยไม่เสียบรรยากาศความเป็นหนังฮีโร่ไปเลย แถมยังเพิ่มมิติ ลูกเล่นในการเล่าเรื่องได้ดีมาก
Spider-Man Homecoming เองก็ตามฟอร์มเป๊ะ มาเป็นหนัง Coming of age วัยรุ่นก้าวข้ามวัยแบบเต็มตัว พร้อมกับตัวละครปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่เด็กขึ้นและเกรียนกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งส่วนตัวคิดว่าคาแรกเตอร์นี้เหมาะสมกับสไปดี้มาก ไม่ดราม่าบีบคั้น เป็นเด็กที่ยังอ่อนประสบการณ์ มีความสับสน มุทะลุ ขาดความยั้งคิดยั้งทำ มีสังคม มีเพื่อน มีการแอบรักตามสไตล์เด็กๆ
- เปิดวิธีลงทะเบียน เลือกตั้งล่วงหน้า 2566 มีขั้นตอนอย่างไร ?
- ทำความรู้จัก อมตะธานี หลังถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 12.5 ล้านคน ได้สิทธิลอตแรก รับเงินกี่บาท เช็กที่นี่
แต่ความ “ตื่นเต้น” ของตัวละครนี้ สำหรับผู้เขียนมันลดน้อยลง ไม่สดใหม่อีกต่อแล้ว เพราะถูกสร้าง รีเมคมาไม่รู้กี่ภาค (แม้จะยังขายได้ก็ตาม) อย่างไรก็ตาม หนังก็ชดเชยด้วยลูกเล่น และอุปกรณ์ต่างๆ ในชุดสไปเดอร์แมนที่ครบเครื่อง และสร้างความตื่นตา ความสนุกกับคนดูได้มาก
ซึ่งหนังเองก็ฉลาดที่จะเลี่ยงการปูตัวละครนี้ใหม่อีกครั้ง (ที่คนดูเบื่อมาก) แล้วมาโฟกัสชีวิตที่เปลี่ยนแปลง การก้าวผ่านวัย ภาระหน้าที่การเป็น “สไปเดอร์แมน” ของตัวปีเตอร์แทน ซึ่งหนังทำออกมาได้กลมกล่อม และเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่หนังวัยรุ่นเรื่องหนึ่งควรจะมี ซึ่งตัวละครรอบข้างปีเตอร์ ขับให้บรรยากาศหนังสนุก นอกจากจะแย่งซีนเป็นครั้งคราว ยังช่วยกันส่งให้ปีเตอร์โดดเด่นอย่างมาก
หนังยังแข็งแรงในการพูดถึง “ภาระหน้าที่” ความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเด็กวัยรุ่นไฮสคูล ซูเปอร์ฮีโร่ หัวหน้าครอบครัว ทุกคนต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุด ปีเตอร์ก็คือเด็กวอนนาบีที่ฝันอยากเป็นฮีโร่แบบทีมอเวนเจอร์ส แต่นี่คือเด็ก ที่อยากพิสูจน์ตัวเองเพื่อได้การยอมรับจนไม่ฟังใคร หนังทำให้เห็นเลยว่า ปีเตอร์ตัดสินใจผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง แต่ความผิดพลาดสอนให้ลุกขึ้นสู้ จนทลายกำแพงที่ใครก็มองว่า “ไม่พร้อม” และ “ยังไม่ถึงเวลา” ไอ้พลังความมุ่งมั่นของเด็กหนุ่มนี่แหละ สามารถเปลี่ยนโลกจนผู้ใหญ่บางคนทึ่งได้เหมือนกัน และยังเผยให้เห็นสิ่งที่ฮีโร่ในคราบเด็กคนนี้ต้องเสียไป นั่นคือชีวิตวัยรุ่น ความสนุกที่อาจขาดหายไป
ด้านตัวละคร ขอลัดคิวให้กับ Vulture ของไมเคิล คีตัน เป็นตัวร้ายที่ลุ่มลึก มีมิติ และต่างจากตัวร้ายคนอื่นๆ ของมาร์เวล และดูมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้มีอุดมการณ์ครองโลกแต่อย่างใด และทุกคนจับต้องและเข้าใจตัวละครนี้ได้ น้าคีตันเล่นดีมาก สุขุม นิ่ง แต่บารมีล้นจอ ทรงพลังจนบางซีนกลบสไปดี้ของเราไปเลย ด้าน โทนี่ สตาร์ค ในตัวอย่างมาเยอะจนนึกว่าต้องมาประคองรุ่นน้องในหนังเปิดซิง แต่ทว่าในหนังมาแบบ “น้อยแต่มาก” มาในจังหวะที่มีความหมายต่อหนัง และมีผลต่อตัวละครปีเตอร์เต็มๆ
ส่วน “ทอม ฮอลแลนด์” เหมาะสมกับบทนี้มาก ออร่าจับ และทำให้คนดูแอบรำคาญ สงสาร เอาใจช่วย และเอ็นดูตัวละครตัวนี้ไปพร้อมๆ กัน ทั้งพาร์ทของชีวิตวัยรุ่นและสวมชุดสไปเดอร์แมน
อีกส่วนที่ขอชื่นชม คือ ฉากแอ็คชั่น อย่างที่บอกว่า หนังถูกสร้างมาแล้วหลายภาค เราเห็นฉากสไปดี้ช่วยชีวิตคนแล้วแทบจะทุกสถานการณ์ แต่ Spider-Man Homecoming ก็ยังดีไซน์ฉากออกมาได้สนุก ชวนลุ้น ชวนเอาใจช่วย และเอาลูกเล่นจากชุดสูทมาเล่นได้คุ้มทีเดียว
แม้ความสดใหม่จะดรอปลงไป แตหนังก็ได้ความสดส่วนอื่นๆ มาอุดรอยรั่ว ทั้งบรรยากาศความเป็นหนังวัยรุ่น ตัวละครที่มีสีสัน และฉากแอ็คชั่นที่สนุกสนาน และการเล่า การเชื่อมโยงสู่จักรวาลมาร์เวลก็แนบเนียนดี
อีกทั้งยังแอบรู้สึกว่า หนังเล่นกับคำว่า Homecoming ได้ดีในหลายๆ ทาง ทั้งการต้อนรับตัวละครกลับสู่มาร์เวลสตูดิโอ และความไม่เดียวดายของตัวละคร ที่ไม่ว่าจะผิดพลาดแค่ไหน ก็มีเพื่อนๆ ครอบครัว คนรอบข้างคอยซัพพอร์ตอย่างอบอุ่นเสมอ