Nothing But Thieves ดนตรีจัดจ้าน โชว์เยี่ยม มาตรฐานสูง มีดีระดับอนาคตของวงการ

Music Talk by ท้องฟ้าสีเทา 

สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงและชอบดูคอนเสิร์ต สิ่งที่น่าดีใจมากเป็นพิเศษก็คือการได้ดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่ตัวเองชอบในเวลาที่ศิลปินอยู่ในช่วงขาขึ้น และความรู้สึกดีใจแบบนี้เกิดขึ้นกับเราอีกครั้ง เมื่อได้ดูคอนเสิร์ต Nothing But Thieves Live in Bangkok เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งต้องชื่นชมผู้จัด The Very Company ที่พาวงนี้เข้ามา แม้ว่าวงยังมีแฟนเพลงในบ้านเราไม่มาก

Nothing But Thieves เป็นวงอัลเทอร์เนทีฟร็อกรุ่นใหม่จากประเทศอังกฤษที่เพิ่งแจ้งเกิดได้ 3-4 ปี เพลงดังที่สุดของพวกเขาคือ If I Get High เพลงช้าเพราะ ๆ ที่มีเสียงร้องโหยหวนเป็นจุดขาย ขณะที่ในผลงาน 2 อัลบั้มของพวกเขาอัดแน่นด้วยเพลงจังหวะกลางถึงเร็วที่ดนตรีหนักแน่นมีสีสันและส่วนผสมที่ได้ยินแล้วตื่นตาตื่นใจมาก 

5 หนุ่ม Nothing But Thieves เป็นวงที่ถูกจับตามองและได้รับคำชื่นชมอย่างมากในเรื่องการแสดงสด พวกเขาเคยแสดงฝีไม้ลายมือในหลายเทศกาลดนตรีใหญ่ ๆ มาแล้ว และก่อนที่จะสร้างชื่อของตัวเองเต็มตัว พวกเขาเคยได้ร่วมทัวร์เป็นวงเปิดให้หลายศิลปินดัง อย่าง Gerard Way, Arcade Fire, George Ezra, Twenty One Pilots รวมถึงวงใหญ่อย่าง Muse

คอนเสิร์ต Nothing But Thieves Live in Bangkok เปิดด้วย 2 วงดนตรีไทย Monomania และ Mattnimare ซึ่งคนดูให้ความสนใจมากใช้ได้เลย ถ้าเทียบกับหลาย ๆ คอนเสิร์ตที่คนดูมักไม่ค่อยสนใจเข้าไปดูวงเปิด

Nothing But Thieves เจ้าของงานขึ้นเวทีในเวลาเกือบ 4 ทุ่มตรง ด้วยเพลง I Just Was A Kid เพลงเร็วมัน ๆ แทร็กเปิดอัลบั้มล่าสุด ตามด้วย Number 13 เพลงจังหวะกระชาก ๆ กับริฟฟ์กีตาร์ที่ชวนให้นึกถึงวง Muse เหลือเกิน (ต้องขออนุญาตเล่าย้อนว่าตอนแรกที่ได้ยินเพลงของ Nothing But Thieves ก็คิดว่า เฮ้ย เสียงร้องไอ้หมอนี่มันคล้าย Matt Bellamy นักร้องนำวง Muse มาก แถมดนตรีก็ยังมีส่วนคล้ายอีก ด้วยความที่ชอบ Muse อยู่แล้วก็เลยทำให้สนใจวงนี้ไปซะง่าย ๆ)

เพลงที่สามกลับไปที่ Wake Up Call ซิงเกิลจากอัลบั้มแรกที่จังหวะชวนโยกสุด ๆ บวกกับเมโลดี้สวย ๆ เนื้อร้องติดหู ที่คนดูช่วยร้องดังกระหึ่ม แล้วตามด้วย Hostage เพลงเท่ ๆ ที่สีสันจัดจ้านและมีหลายอารมณ์ในเพลงเดียว

ผ่านไปถึง 4 เพลงกว่าที่คอเนอร์ (Conor Mason) นักร้องนำจะเป็นตัวแทนเพื่อนร่วมวงกล่าวทักทายเอาอกเอาใจแฟนเพลง ประมาณว่า “ไม่คิดว่าวงเราจะมาไกลขนาดนี้ ได้มาเล่นในประเทศที่สวยงามและเจ๋งมาก เพิ่งผ่านไปแป๊บเดียวก็รักพวกคุณซะแล้ว”  พอได้ยินแบบนี้แฟน ๆ ก็กรี๊ดกันใหญ่

หลังจากพูดคุยทักทายกันก็เข้าสู่เซตที่สอง เริ่มด้วย Soda จากอัลบั้มล่าสุด เป็นเพลงช้าเพลงแรกของโชว์ ต่อเนื่องด้วย Graveyard Whistling เพลงช้าทำนองเรื่อย ๆ จากอัลบั้มแรก ที่นำมาแสดงสดต่อเนื่องกันได้อย่างลงตัว ด้วยความที่เป็นเพลงช้าไม่ชวนโยก และเจ้าหนุ่มคอเนอร์สะกดคนดูด้วยเสียงร้องอันน่าทึ่ง (ซึ่งก็น่าทึ่งแทบทุกเพลง) เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่คนดูค่อนข้างตั้งใจฟังกันอย่างนิ่ง ๆ

ผ่าน 2 เพลงช้า เริ่มกลับสู่ความสนุกด้วย Broken Machine ไตเติลแทร็กของอัลบั้มล่าสุด เพลงที่จังหวะชวนโยกหัวดีมาก ๆ แล้วเพิ่มดีกรีขึ้นไปสู่ความดุเดือดพุ่งพล่านในเพลง I’m Not Made by Design แล้วต่อด้วย Live Like Animals อีกเพลงที่แสดงให้เห็นว่าวงนี้ทำเพลงได้หลากหลายและทำอะไรก็ออกมาดีไปหมด จากนั้นเบรกจังหวะลงด้วย Particles เพลงช้าดนตรีเข้มข้น ซึ่งคอเนอร์ก็โชว์เสียงสู้กับดนตรีได้ “ถึง” อีกเช่นเคย

ตามมาด้วย Trip Switch เพลงจังหวะกลาง-เร็วชวนสะบัดหัว เป็นเพลงที่ติดหูตั้งแต่ฟังในอัลบั้ม ยิ่งพอได้ดูพวกเขาแสดงสดเยี่ยม ๆ ต่อหน้า บอกเลยว่ายังติดหูมาจนถึงวันนี้ คนดูร้อง “Down, down, down, down, down” กันดังลั่น แล้วมันกันต่อเนื่องด้วย Ban All The Music เพลงเท่ ๆ จากอัลบั้มแรก เป็นการสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างกีตาร์เสียงแตก ๆ กับเสียงร้องสูง ๆ ที่ร้องแบบไปเรื่อย ไร้ขอบเขต …โอ้โห ทั้งเสียงกีตาร์และเสียงร้องไม่มีใครแพ้ใครชนะ แต่เป็นชัยชนะของคนดูไปเต็ม ๆ

จากพาร์ตดุเดือด มาสู่ช่วงท้ายด้วยเพลงช้า If I Get High เพลงดังที่สุดของพวกเขา ที่ลดความเข้มข้นของดนตรีลงเพื่อโชว์เมโลดี้สวย ๆ และเสียงร้องโหยหวน แล้วค่อยปะทุแตกในช่วงท้าย ด้วยความที่เป็นเพลงดังและเป็นเพลงช้า ไม่ต้องกระโดดโลดเต้น แฟน ๆ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวิดีโอกันเต็ม แล้วก็กลับไปมันกันต่อด้วย Sorry เพลงที่ตัดเป็นซิงเกิลสองของอัลบั้มล่าสุด แฟน ๆ ช่วยกันร้องดังสนั่น ท้ายเพลงคอเนอร์บอก “Thank you so much, Bangkok”  แล้วเสียงดนตรีก็เงียบพร้อมกับแสงไฟดับลง

คนดูช่วยกันตะโกนและปรบมืออังกอร์อยู่ประมาณ 3 นาที ทั้ง 5 หนุ่มกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง มอบเพลงเศร้า Lover Please Stay ให้ฟัง เป็นอีกเพลงที่คอเนอร์ร้องได้น่าขนลุกมาก ไม่รู้ว่าคนดูตกตะลึงหรือว่าเข้าโหมดเศร้าอยู่ แต่จบเพลงนี้รู้สึกว่านิ่งเงียบเหมือนตายกันไปแล้วครึ่งฮอล

จะปล่อยให้โชว์จบไปด้วยอารมณ์ไม่บันเทิงอย่างนั้นไม่ได้ พวกเขาพูดคุยอีกเล็กน้อยก่อนจะมอบความมันระดับ 6 ดาวให้คนดูอีก 2 เพลงคือ Itch และ Amsterdam ค่อยร่ำลากันไปแบบ very happy ending

คอนเสิร์ตนี้ทำให้นึกถึงสุภาษิตที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำชม ใครร่ำลืออะไรมา เราต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง การพิสูจน์ไม่ได้แปลว่าเราไม่เชื่อ แต่ในเมื่อเราเชื่อ มันก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่ดีที่เราจะไปดูสิ่งดี ๆ ด้วยตาตัวเอง 

Nothing But Thieves เป็นคนหนุ่มฝีมือดี ไอเดียเจ๋ง ทำเพลงมีสีสันชวนหลงใหลมาก ซึ่งอันนั้นเป็นเรื่องของความสามารถและรสนิยมทางดนตรีของวง แต่ที่ถือเป็นความโชคดีของพวกเขาก็คือการมีคอเนอร์เป็นนักร้องนำ ซึ่งคอเนอร์เองก็โชคดีที่ได้รับเสียงนี้มา ที่บอกว่าเป็น “โชค” ก็เพราะว่า เสียงเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด คุณอาจจะขยันฝึกวิธีการร้องเพลงได้ แต่คุณเปลี่ยนเนื้อเสียงที่ติดตัวมาไม่ได้ และเสียงแบบนี้บวกกับทักษะการร้องที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ไปได้ทุกทิศทาง มันจึงลงตัวและส่งเสริมดนตรีของวง เพราะไอเดียการทำดนตรีไม่ถูกจำกัด ไม่ต้องกลัวว่าทำดนตรีไปไกลแล้วเสียงร้องจะไปไม่ได้ 

การมีเพลงดีเป็นต้นทุนที่ทำให้มีชัยไปครึ่งหนึ่งแล้ว และเมื่อเพลงดี ๆ ถูกนำมาเล่นอย่าง “ถึง” และไม่มีอะไรบกพร่อง มันจึงเป็นคอนเสิร์ตที่ดีมาก เป็นการแสดงสดที่ไม่มีเพลงไหนเป็นไฮไลต์เลย เพราะมาตรฐานดีเท่ากันทุกเพลง ซึ่งนี่ก็ชวนให้นึกถึงมาตรฐานการแสดงสูงปรี๊ดของวง Muse (อีกแล้ว)

ถ้าจะมีที่ตินิดหน่อย (เป็นทั้งคำติและคำชม) ก็ตรงที่พวกเขาเล่นกันนิ่ง ไม่ลีลา ไม่ท่าเยอะ ถ้าเทียบกับสีสันและความเท่ของเพลงที่ทำกันมาเอื้อให้วงสามารถ “แอกต์” หรือ “โชว์เท่” ได้มากกว่านี้เยอะ

การโชว์นิ่ง ๆ จะว่าดีก็ดีที่ไม่เยอะ ไม่น่ารำคาญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าศิลปินที่รู้จักแอ็กติ้ง พรีเซนต์แคแร็กเตอร์จัด ๆ มักจะสร้างตัวตน สร้างการจดจำได้มากกว่า และประสบความสำเร็จโด่งดังมากกว่า

ในเรื่องความสามารถ Nothing But Thieves “ดีเยี่ยม” ระดับเป็นความหวังเป็นอนาคตของวงการเพลงร็อกได้เลย ถ้าพวกเขาจะสร้างภาพลักษณ์ให้โดดเด่นจัดจ้านขึ้นอีก ก็น่าจะเป็นแรงส่งให้ไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก