Mike Shinoda Live in Bangkok คอนเสิร์ตสุดซึ้ง แฟนเพลงรวมตัวให้กำลังใจอบอุ่น

Music Talk by ท้องฟ้าสีเทา 

ไมก์ ชิโนดะ (Mike Shinoda) นักร้องและแกนนำวงลินคินพาร์ก (Linkin Park) มาแสดงคอนเสิร์ตในเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ เมืองไทย จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์เฮาส์ เซ็นทรัลเวิลด์ จัดโดย ไลฟ์ เนชั่น บีอีซี-เทโร ซึ่งคอนเสิร์ตนี้เป็นส่วนหนึ่งของทัวร์โปรโมตอัลบั้ม Post Traumatic ผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวของเขาที่เพิ่งปล่อยออกมาไม่นานนี้ 

เพลงเดี่ยวของไมก์ เป็นแนวทางที่แฟน ๆ คุ้นเคย เป็นตัวตนของเขาที่แฟนลินคินพาร์กรู้จักมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว คือการร้องแรป และเล่นเครื่องดนตรีสารพัดอย่างด้วยตัวเอง แต่จะเรียกเพลงของเขาว่าเป็นเพลงฮิปฮอปเลยก็คงไม่ใช่ เพราะในพาร์ตดนตรีเบื้องหลังการร้องแรปคือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ร็อกและอิเล็กทรอนิกส์พ็อปดี ๆ ที่ผสมผสานหลายองค์ประกอบได้อย่างน่าสนใจ

คอนเสิร์ตนี้ แม้จะมาในฐานะศิลปินเดี่ยว แต่ไมก์ก็ไม่ได้โชว์เฉพาะเพลงจากอัลบั้มเดี่ยว แต่เขามาพร้อมเพลงของลินคินพาร์ก (Linkin Park) และฟอร์ตไมเนอร์ (Fort Minor) ด้วย ทั้ง “Welcome”, “Place To Start”, “Watching As I Fall”, “Castle of Glass”, “When They Come For Me”, “Ghost”, “Kenji”, “Roads Untraveled”, “Waiting For The End”, “ Where’d You Go”, “Sorry For Now”, “Crossing A Line”, “In The End”, “About You”, “Over Again”, “Papercut”, “Make It Up as I Go”, “Good Goodbye”, “Bleed It Out”, “Petrified”, “I.O.U.”, “Remember The Name”, “Running From My Shadow” จัดเต็มอิ่มเกือบ 2 ชั่วโมง หลายเพลงเล่นแบบเต็มเพลง บางเพลงเป็น mashup 

ฐานแฟนเพลงของไมค์ซึ่งตามมาจากลินคินพาร์กนั้นเป็นแฟนเพลงร็อก ไม่แน่ใจว่าชอบเพลงอัลบั้มเดี่ยวของไมก์มากน้อยแค่ไหน อาจจะมีคนที่เกรงว่าถ้าไปดูคอนเสิร์ตเดี่ยวของไมก์แล้วจะไม่อินกับเพลงแรปของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโชว์ไม่ได้เป็นอย่างที่กลัวเลย

นี่คือคอนเสิร์ตที่เป็นส่วนผสมของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ร็อกและอิเล็กทรอนิกส์พ็อปทางเลือกที่นักร้องร้องแบบแรป หลายเพลงเป็นดนตรีร็อกที่เล่นสดได้สนุก หนักแน่นแบบศิลปินร็อกเต็มวง บางเพลงเป็นอิเล็กทรอนิกส์พ็อปซาวนด์สังเคราะห์บรรยากาศอึมครึม หม่น ๆ นิ่ง ๆ อย่างน่าสนใจ เป็นความมีสีสัน มีการผสมผสาน เพียงแต่ส่วนผสมทางดนตรีที่ผสมลงไปนั้น รวมกันแล้วออกมาเป็นสีหม่น ๆ เหมือนกับ lighting design ในหลาย ๆ เพลงที่เป็นสีชมพูออกหม่น ๆ ช้ำ ๆ ฟ้าหม่น ๆ ช้ำ ๆ 

ไฮไลต์ของโชว์อยู่ที่ช่วงกลาง ๆ โชว์ที่เล่นเพลง In The End สุดยอดเพลงฮิตของลินคินพาร์ก ซึ่งก่อนจะเริ่มเพลง ไมก์พูดกับคนดูหลายเรื่อง ตั้งแต่พูดถึงกำลังใจที่ลินคินพาร์กได้รับจากแฟนเพลงและคนรอบข้าง ซึ่งเป็นการชาร์จพลังให้กับพวกเขา แล้วเล่าเรื่องเกริ่นเข้าประเด็นสำคัญและเพลงสำคัญ

ไมก์เล่าถึงประสบการณ์ที่พ่อของเขาเคยพาไปร่วม โอโบน เฟสติวัล (Obon Festival) เป็นเฟสติวัลของสังคมคนญี่ปุ่นในลอสแองเจลีส ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับคนที่จากไป

“เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลอง ซึ่งผมซาบซึ้งประทับใจในไอเดียของเทศกาลนี้มาก มันเป็นการเฉลิมฉลองให้กับคนที่เรารักที่จากไป เราจะไม่โศกเศร้า แต่เราจะสนุกสนานกัน และตอนนี้เรามาเฉลิมฉลองให้กับเชสเตอร์ด้วยกันนะ เรามาส่งเสียงให้เชสเตอร์กัน” ทันใดนั้นแฟน ๆ ก็ส่งเสียงดัง ส่วนไมก์ก็ร้องออกไมค์ว่า “นานะ” (นานะคือเลข 7 ซึ่งคนญี่ปุ่นถือว่าเป็นเลขมงคล) ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า “เราจะต้องไม่ลืมและไม่ให้ใครลืมว่าเชสเตอร์เป็นนักร้องร็อกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล … เขาเป็นนักร้องที่ดีที่สุดตลอดกาล เขาเจ๋งมากจริง ๆ … เรามาเฉลิมฉลองให้เชสเตอร์กันตอนนี้ อยากให้พวกคุณร้องดัง ๆ ผมเชื่อว่าเชสเตอร์จะได้ยินเสียงพวกคุณ”

แล้วเสียงอินโทร ตึ่ง ตึ๊ง ตึ๊ง ตึง ตึง… ของเพลง In The End ก็ดังขึ้น ซึ่งไมก์ทำหน้าที่ร้องไลน์แรปของเขา และให้คนดูร้องไลน์หลักของเชสเตอร์ ซึ่งแฟน ๆ ก็ช่วยกันร้องดังตลอดเพลง เป็นสุดยอดซีนอารมณ์ที่ชวนขนลุกมาก ๆ เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่น้ำตาซึม

คอนเสิร์ตนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากแบบที่ไม่เจอมาก่อน ถ้าจะวิเคราะห์ก็น่าจะเพราะประสบการณ์ของศิลปินที่เจนเวที สื่อสารกับคนดูอย่างเป็นธรรมชาติ และด้วยความที่มาเมืองไทยหลายครั้งจนคุ้นเคย และไมก์เป็นคนไนซ์มากอยู่แล้วด้วย ก็เลยทำให้ปฏิสัมพันธ์การสื่อสารกับคนดูดีมาก และเรียลมาก ๆ

ยังไม่นับช่วงท้ายโชว์ที่ไมก์ลงมาคลุกคลีอยู่กับคนดูหน้าเวที และพอจบคอนเสิร์ตก็เดินลงหน้าเวทีเดินตามทางเดินด้านหน้าไปข้างเวที ให้แฟน ๆ ได้ใกล้ชิดแบบสุด ๆ

ระหว่างโชว์ไมก์ขอบคุณแฟน ๆ และพูดความรู้สึกของตัวเองเยอะมาก ซึ่งให้ความรู้สึกว่ามันไม่ใช่การพูดคุยเพื่อเอ็นเตอร์เทนคนดูเป็นหลัก แต่เหมือนการเล่าระบายความรู้สึกในใจให้เพื่อนฟัง

ถ้าเข้าใจไม่ผิด (อิงจากความรู้สึกตัวเอง) นี่เป็นคอนเสิร์ตที่คนดูไม่ได้คาดหวังโชว์ที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นเหมือนเพื่อนฝูงที่นัดพบเจอพูดคุยกัน ให้กำลังใจ ปลอบประโลมกัน เนื่องจากความสูญเสียครั้งใหญ่ ซึ่งเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าทุกคนโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของเชสเตอร์ เบนนิงตัน (Chester Bennington) นักร้องนำลินคินพาร์กที่เสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว

หลังจากเชสเตอร์จากไปไม่นาน ไมก์รีบทำอัลบั้มใหม่ ไม่บอกก็รู้ว่าเขาใช้ดนตรีเยียวยาตัวเอง ส่วนฝั่งแฟนเพลงก็รู้สึกสูญเสียเหมือนกัน คอนเสิร์ตนี้จึงเป็นการรวมตัวคนที่เข้าใจความรู้สึกกัน แฟน ๆ คนดูก็รู้ว่าไมก์ต้องการเติมพลังเรี่ยวแรง เพื่อพาเพื่อนที่เหลือสู้ต่อ และคนดูก็ไปคอนเสิร์ตนี้เพื่อให้กำลังใจไมก์และให้ดนตรีเยียวยาตัวเองเหมือนกัน ด้วยความรู้สึกว่าถึงแม้ไม่มีเชสเตอร์ แต่เรายังเหลือไมก์นะ และลินคินพาร์กสามารถเดินต่อได้ถ้ายังมีไมก์

…ก็เป็นความจริงตามที่คิด เพราะช่วงหนึ่งในโชว์ ไมก์ก็บอกว่า การทำดนตรีเป็นการเยียวยาเขา และการออกมาทัวร์ พบเจอพูดคุยกับแฟน ๆ ก็ช่วยเติมพลัง และสร้างแรงบันดาลใจให้เขาได้มาก

งานนี้ไม่ได้มีเฉพาะแฟนเพลงชาวไทยเท่านั้น แต่มีแฟนเพลงจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย เราได้เจอแฟนเพลงจากอินโดนีเซียและจากเวียดนามที่รวมตัวกันมากลุ่มใหญ่ เป็นบรรยากาศสุดแสนอบอุ่น


แฟนเพลงกลุ่มใหญ่สมาชิกกลุ่ม Linkin Park Fan Club in Vietnam ที่มีสมาชิกทั่วประเทศกว่าแสนคนบอกกับเราว่า พวกเขาติดตามลินคินพาร์กมานาน 10 กว่าปีแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยดูคอนเสิร์ตลินคินพาร์กสักครั้ง จึงชวนกันมาดูคอนเสิร์ตไมก์ที่เมืองไทยในครั้งนี้ พวกเขาบอกถึงความคาดหวังก่อนจะมาดูคอนเสิร์ตนี้ว่า “คาดหวังว่าจะเอ็นจอยกับโชว์ เอ็นจอยกับช่วงเวลาที่ได้อยู่กับไมก์ ตอนเช้าก่อนคอนเสิร์ตได้ไปเจอไมก์ที่โรงแรมด้วย และไมก์ก็พูดคุยอย่างเป็นกันเอง ทำให้รู้สึกประทับใจมาก ส่วนความรู้สึกหลังจบคอนเสิร์ตคิดว่าเป็นโชว์ที่ยอดเยี่ยมมาก”

ส่วนความหวังในอนาคต พวกเขาบอกว่า “ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่พวกเราหวังว่าลินคินพาร์กจะกลับมารวมกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าลินคินพาร์กที่ไม่มีเชสเตอร์มันอาจจะต่างจากเดิมก็ตาม และพวกเราหวังว่าจะได้เจอลินคินพาร์ก…ที่เวียดนาม” 


จบคอนเสิร์ต คนดูเดินออกจากฮอลด้วยสีหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มร่าเริงเหมือนอย่างคอนเสิร์ตอื่น ๆ ที่เคยเห็นมา แต่เชื่อและรู้สึกเองว่า นี่คือคอนเสิร์ตหนึ่งที่คนดูประทับใจมาก และรู้สึกพิเศษมาก เพียงแต่ความรู้สึกพิเศษนี้ มันเป็นความซึ้ง อบอุ่น ชวนน้ำตาไหลมากกว่าจะยิ้มเริงร่า