ANNALYNN เมทัลคอร์สัญชาติไทยกับความฝันทำเพลงขายต่างชาติ

คอลัมน์ Music Talk by ท้องฟ้าสีเทา

เมื่อเดือนที่แล้ว (พอบอกไปคนอ่านรู้เลยว่าดองงานไว้นาน) ไปคอนเสิร์ตหนึ่งมาค่ะ เป็นงานเปิดอัลบั้มใหม่ของศิลปินใหม่ของค่าย Wayfer Records ค่ายเพลงไทยคุณภาพเกรดเอในสังกัดอินเตอร์ Warner Music Thailand เป็นคอนเสิร์ตสเกลเล็ก ๆ แต่ได้สัมผัสความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มาก

วงที่ว่าชื่อวง Annalynn (แอนนาลิน) เป็นวงเมทัลคอร์แถวหน้าของบ้านเราที่ส่งออกไปอวดชาวโลกได้

Annalynn เป็นวงที่สร้างชื่อเสียงในวงการเพลงอันเดอร์กราวนด์เมทัลบ้านเรามานานราว 10 ปีแล้ว มีสมาชิก 5 คน คือ บอน-ร้องนำ, เอก-เบส, ภพ-กีตาร์, ม้ง-กลอง และ บอส-กีตาร์ สมาชิกใหม่ล่าสุดที่เข้ามาแทนคนเดิมเมื่อปีที่แล้ว

ราว 10 ปีก่อน เมื่อตอนที่วงการเพลงเมทัลใต้ดินยังคึกครื้น มีการจัดงานเฟสติวัลกันทุกเดือน ตอนนั้น Annalynn ถูกจับตามองในฐานะวงหน้าใหม่ที่โดดเด่นมาก พออยู่มาเรื่อย ๆ วงการเริ่มจะซบเซาลง เฟสติวัลต่าง ๆ ลดน้อยลงเหลือปีละไม่กี่งาน วงดนตรีในรุ่นเดียวกันแยกวงกันไปเยอะแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอยู่ต่อมา มีแฟนเพลงที่ติดตามเชียร์พวกเขาอย่างเหนียวแน่น มีอัลบั้มของตัวเอง ทำซีดีออกขายจริงจัง และได้เล่นเป็นวงเปิดให้ศิลปินจากเมืองนอก ได้ไปทัวร์ต่างประเทศ และกำลังจะไปเล่นในงานเทศกาลดนตรี True North Festival ที่ญี่ปุ่นในอีกไม่กี่วันนี้

นั่นคือความน่าสนใจของวงดนตรีวงนี้ และการที่ค่ายเพลง Wayfer Records รับพวกเขาเข้าสังกัด ก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก เพราะค่ายนี้เกิดขึ้นมาด้วยเป้าหมายอยากผลักดันศิลปินไทยออกไปโชว์ต่างประเทศ จึงถือเป็นก้าวสำคัญของวงดนตรีเล็ก ๆ วงหนึ่ง ที่จะได้แรงสนับสนุนจากค่ายเพลงที่มีเครือข่ายทั่วโลก

Annalynn ออกอัลบั้มมาแล้ว 3 ชุด อัลบั้มที่เพิ่งเปิดตัวชื่อ “DECEIVER/BELIEVER” และคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มก็ชื่อเดียวกัน

วันนั้น… ก่อนที่ Annalynn จะขึ้นเวทีมอบความมันระดับ 6 ดาวให้แฟน ๆ เราชวนพวกเขามาพูดคุยด้วย และนี่คือบทสัมภาษณ์ศิลปินไทยที่เราอยากชวนคนอ่านมาให้กำลังใจในก้าวเดินต่อไปของพวกเขาที่มีเป้าหมายจะทำเพลงไปขายเมืองนอก

Q : Annalynn อยู่ในวงการมานานแล้ว แต่บางช่วงเงียบไป เป็นแค่การหายไปทำอัลบั้ม หรือมีช่วงที่พักวงหรือเปล่า

Annalynn : เราตั้งวงมา 14 ปี ถ้านับประมาณ 8 ปีหลังนี้ไม่เคยหยุดเลย แต่ช่วง 5-6 ปีแรกเป็นช่วงกำลังเริ่มและปรับจูนให้วงอยู่ในระบบครับ แต่หลังจากนั้นก็ทำตลอดไม่ได้หยุดเลย ที่เห็นหายไปก็คือทำอัลบั้ม

Q : ต้องพยายามมากไหมในการหาเวลามาทำวง เพราะมันไม่ใช่งานหลักที่เลี้ยงชีพ ทุกคนต้องทำงานประจำ

Annalynn : พวกเรารู้ตั้งแต่ก่อนจะมาเล่นอยู่แล้วว่า ดนตรีต่อให้เป็นแนวที่เป็นกระแสกว่านี้มันก็ยังอยู่ไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำงาน ทุกคนก็เตรียมตัวกันอยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น ก็เหนื่อยหน่อย เพราะเป็นการทำงานสองอย่าง ต้องแบ่งเวลาดี ๆ มันก็ต้องมีจุดที่ต้องเสียสละเอาเวลามานั่งแชร์กัน ต้องคุยกัน ต้องแบ่งเวลามาทำเพลงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง

Q : การที่วงการเพลงอันเดอร์กราวนด์เมทัลซบเซาลง มันส่งผลกระทบให้วงอยู่ยากกว่าตอนที่วงการยังเฟื่องฟูไหม

บอน : แน่นอนครับ แต่จริง ๆ ทุกวงทุกแนวเพลงมันมีจุดขึ้นจุดลงอยู่แล้ว แต่วงก็ต้องเดินต่อไป ยังไงก็ต้องทำผลงาน ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ช่วงนั้นเรามีอะไรที่อยากทำหรืออยากจะนำเสนออะไร เราก็ทำไปเลย วงเราไม่ได้สนใจว่าวงการมันจะขึ้นหรือจะลง เพราะยังไงมันก็อยู่ที่ตัววงเอง

เอก : คือวงการนี้มันไม่ได้ใหญ่มาก เวลามีกระแสขึ้นหรือลงมันก็ไม่กระทบมาก วงการของเรามันจะอิงกับวงการเพลงเมืองนอกมากกว่า ถ้าเมืองนอกมีกระแสอะไรมามันก็จะกระทบกับวงเรามากกว่ากระแสในบ้านเรา อย่างเช่นสมมุติเมืองนอกเพลงแบบนี้มา คนก็จะหันไปฟังแนวนั้น แนวของเราก็อาจจะความนิยมซาไป แต่ด้วยที่บอกว่าวงการมันไม่ใหญ่ ฉะนั้นเวลากระทบมันไม่มาก

Q : คิดว่าอะไรที่ทำให้วงยังเดินหน้าต่อได้ ในขณะที่หลายวงรุ่นเดียวกันอยู่ไม่ได้แล้ว

เอก : หนึ่ง วงเราคุยกันเยอะมาก คุยกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัลบั้มหรือเรื่องส่วนตัว ทุกคนสนิทกันมากมันทำให้การทำงานค่อนข้างง่าย

บอน : นอกจากเรื่องนี้ ผมว่าทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี ถ้าจะทำให้ยืนระยะได้ยาว ๆ มันต้องมีแพสชั่น  ไม่ใช่เทรนด์อันนี้สำคัญ ถ้าใครอยากเล่นดนตรีเพราะเทรนด์ มันก็จบ ที่แอนนาลินอยู่ได้ยาวเพราะเรามีแพสชั่นมีความฝันร่วมกัน

Q : ความฝันเมื่อก่อนกับความฝัน ณ วันนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง

Annalynn : มันคนละเรื่องกันเลย

บอน : ตอนนั้นผมแค่อยากทำวงประกวดงานมหาลัย

เอก : เคยคุยกันว่าเดี๋ยวจบมหาลัยก็คงจบ ต่างคนต่างไปทำงาน แต่ก็ยังอยู่ คือมันเหมือนมีความฝันแล้วความฝันมันต่อยอดไปเรื่อย ๆ พอถึงจุดหนึ่งที่เราวางไว้ มันก็จะมีอีกจุดหนึ่งที่ท้าทายมากกว่าเดิมให้เราไปต่อ

ม้ง : ส่วนความฝัน ณ ตอนนี้ เราอยากไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะไปได้ เรายังไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราอยู่ตรงไหน เราอาจจะอยากเป็นเหมือนวงต่างประเทศที่อยากไปทัวร์ทั่วโลก แต่เรายังไม่รู้ว่าหนทางที่ต้องเจอมันมีอะไรอีกบ้าง ฉะนั้นเราก็จะทำทุกวันนี้ให้มันดีที่สุด ไปถึงจุดที่เราจะต่อยอดขึ้นไปได้ไกลกว่านี้อีก เราไม่รู้ว่าเท่าไหร่ถึงจะพอเหมือนกัน ผมคิดว่าความฝันมันต้องโลภครับ ไม่งั้นเราก็จะไม่พัฒนาตัวเอง ไม่พยายาม (มองให้ใหญ่ไว้ก่อน-บอนเสริม) มองให้ใหญ่ไว้ก่อนแล้วเราก็ต้องไปด้วย ไม่ใช่ว่ามองแล้วเราอยู่กับที่ เรามองแล้วเราคุยกัน เราพยายามต่อไปเรื่อยๆ

Q : มาอยู่กับค่าย Wayfer Records ได้ยังไง

Annalynn : บังเอิญได้ไปเจอพี่โน่ (ดนัย ธงสินธุศักดิ์-มิวสิคไดเรกเตอร์ของค่าย) แล้วได้คุยกัน ทุกอย่างมันอยู่ในจุดที่เจอกันแล้วรู้ว่าเราจะทำงานร่วมกันไปต่อ จุดหมายที่พี่โน่เขาวางไว้กับจุดหมายที่วงจะเดินมันไปด้วยกัน

Q : จุดหมายนั้นคือ ?

บอน : คือเขาไม่พยายามให้เราทำเพลงไทย ไม่เปลี่ยนแนวของวงครับ ซึ่งวงเราไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลง แต่เรายึดเรื่องการพัฒนาของวงในแต่ละอัลบั้มมาตลอด จะพยายามหาอะไรใหม่ ๆ เพื่อให้วงมีการเดินหน้า แต่ยังเป็น Annalynn อยู่ครับ และมีจุดมุ่งหมายคือทำเพลงไปขายคนต่างชาติ ซึ่งจุดนี้พี่โน่และพวกผมมีความคิดตรงกัน

Q : การเข้าไปอยู่ในค่ายใหญ่ มันทำให้เป้าหมายก่อนหน้านี้กับตอนนี้เปลี่ยนไปไหม

Annalynn : จริง ๆ ยังเป็นเป้าหมายเดิมอยู่นะครับ เพราะว่าตั้งแต่ต้นปีเราก็มีแพลนไปเล่นที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว แพลนตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่ไกลกว่าตอนก่อนเข้า แต่หลังจากนี้ไปคงจะมองอะไรมากกว่านี้

Q : ได้ไปเล่นต่างประเทศครั้งแรกตอนไหน ช่วยเล่าความเป็นมาว่าไปได้ยังไง หาโอกาสยังไง

Annalynn : ครั้งแรกไปทัวร์กับ The Ghost Inside เป็นวงจากอเมริกาครับ ไปเวียดนาม สิงคโปร์ และที่ไทยเล่นที่กรุงเทพกับเชียงใหม่ จากนั้นก็ไปเล่นที่จีน 2 งานที่เจิ้นเจียง มิวสิคเฟส กับ เซี่ยงไฮ้ เมทัล เฟสติวัล จากนั้นไปทัวร์กับ Confession (วงจากออสเตรเลีย) ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ แล้วก็ไปเล่นที่จีน 6 งาน และไปเป็นเฮดไลน์ที่เวียดนามงานนึง และฮ่องกง มาเก๊า และได้ไปทัวร์ไต้หวัน

โอกาสมาจากการที่เราไปคุยกับผู้จัด และคุยกับวงด้วย ครั้งแรกกับ The Ghost Inside เขาจะมาไทย เป็นวงที่เราชอบและเป็นแนวเพลงที่เราคิดว่าไปด้วยกันได้ เราก็เลยคุยกับเอเจนซี่ที่พาเขามาไทยว่าอยากไปเล่นกับเขา เราก็หาโอกาสของเรา ล่าสุดไปเล่นกับ Crystal Lake ที่ไต้หวัน และกำลังจะไปญี่ปุ่นอีกเร็ว ๆ นี้ มันเริ่มมาจากเราได้ทำเพลงด้วยกันเมื่อสองปีที่แล้ว แล้วเขาก็ชวนไปเล่นด้วยกันที่ไต้หวัน ตอนเขามาไทยก็คุยกัน วงเขาเป็นวงรุ่นใหม่มาแรงที่เราเห็นว่าเขาเจ๋ง

Q : การไปทัวร์กับศิลปินจากอเมริกา ญี่ปุ่น ได้ออกไปเล่นต่างประเทศ เราได้เรียนรู้อะไรจากเขาบ้าง

เอก : สำคัญเลยคือเรื่องการทำงานครับ ที่นู่นเขาไม่ทำกันเล่น ๆ เขาเป๊ะมาก เรื่องการทำงานเป็นหลัก เราเอากลับมาปรับใช้ได้ ทั้งเรื่องการเล่นสด และการทำงานเบื้องหลัง มันเป็นประสบการณ์ที่เราจะไปหาอ่านตามอินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้เจอแบบนี้ ได้เจอของจริงมันดีกว่านั่งดูในยูทูบ

บอน : ประสบการณ์การแก้ปัญหาบนเวที

Q : ที่ต่างประเทศคนดูไม่รู้จักเรามาก่อน มันรับมือยากกว่าในเมืองไทยไหม แล้วรับมือยังไง

บอน : ก็ยาก เพราะว่าเวลาเราไปเล่นเป็นวงเปิด คนเขาไม่ได้ตั้งใจมาดูเรา เขาตั้งใจมาดูวงหลัก เราก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่า เพราะอย่างแรกเลย เขาไม่เคยฟังเพลงเรา หรือเคยฟังก็ไม่ได้ฟังแบบร้องได้ แต่เมืองนอกเขาเข้ามาดูวงเปิดนะครับ ไม่เหมือนเมืองไทย เขาใส่เต็มตั้งแต่วงเปิด

เอก : แต่สนุกมาก มันเป็นความท้าทายอีกแบบว่าจะทำยังไงให้เขามาประทับใจเรา ถ้าคนดูตอบรับนี่เป็นอะไรที่ฟิน มันจะรู้สึกว่าฟินว่ะ ที่นี่เราทำได้

Q : คิดว่าศักยภาพเราเป็นไงบ้าง เทียบวงอื่นบนเวทีเดียวกัน

บอน : ตอบไม่ได้ครับ เพราะผมไม่ได้ดูตัวเองเล่น

เอก : มองอย่างนี้ดีกว่าครับ วงดนตรีอันเดอร์กราวนด์บ้านเราอีกหลาย ๆ วง เรื่องฝีมือเราไม่ด้อยกว่าที่อื่น แม้ว่าจะเทียบกับที่ยุโรปก็ตาม แต่เราขาดเรื่องประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพ ถ้าเกิดเราเติมพวกนี้ไป ผมว่าหลายวงก็ไปได้อีกไกล

Q : มันเชื่อมโยงกันไหมกับที่วงการบ้านเราไม่ค่อยมีงานเล่น

เอก : ก็ด้วยครับ แต่ว่าถ้าไม่เจอด้วยตัวเองก็ต้องขวนขวาย ไม่ว่าจะทางสื่อทางยูทูบ อะไรก็ตาม หรือมีโอกาสไปดูงานต่าง ๆ ก็ไป ไม่ใช่ว่าไปสนุกอย่างเดียว ไปแล้วต้องได้อะไรกลับมา เช่น ดูว่าเขาทำอะไรกัน หลังเวทีสตาฟฟ์ทำงานยังไง มือกีตาร์เขาเช็คซาวนด์อะไรยังไงกัน ก็เอามาปรับใช้ ผมว่ามันช่วยได้ อาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่มาลูกใหญ่ ๆ แล้วปรับทีเดียว มันค่อย ๆ สะสมทีละนิด ๆ ก็จะเป็นการพัฒนาทั้งตัวนักดนตรีเองและวง

Q : เพลงอัลบั้มใหม่ ถ้าให้แนะนำตัวกับคนที่ยังไม่รู้จัก Annalynn เลย จะอธิบายว่าดนตรีแบบนี้คืออะไร

Annalynn : พูดให้เข้าใจง่ายก็เป็นเมทัลคอร์ แต่ว่ามันจะมีส่วนผสมอะไรที่ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นจังหวะแบบนูเมทัล อย่างที่เคยได้ยินจาก Limp Bizkit จาก Linkin Park ผสมกับดนตรีเมทัลคอร์แบบที่เราทำมาตลอด ทำให้สนุกได้ง่ายขึ้น