นาระวันฝนพรำ เที่ยวแบบชุ่มฉ่ำในเมืองแห่งกวางของญี่ปุ่น

โดย นุ่มนิ่มนำโชค

 

มีโอกาสไปเยือนญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นเดือนก่อน เขียนไปตอนที่แล้วก็เป็นเรื่องเอาใจสาวกแฮร์รี่ พอตเตอร์ ด้วยการพาไปเที่ยวในดินแดนเวทมนตร์ “The Wizarding World of Harry Potter” ในสวนสนุก Universal Studio Japan ที่ตั้งอยู่ในโอซาก้า แล้วก็เพิ่งจะมามีเวลาว่างเขียนอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากโอซาก้านักอย่าง “นาระ” (Nara) หรือบางคนออกเสียงว่านารา เมืองหลวงในยุคแรกๆ ของญี่ปุ่นนั่นเอง

สำหรับคนที่ชอบความเป็นเมือง ความทันสมัย ไฮเทคโนโลยี ช้อปปิ้งแหลก เมืองนาระก็อาจจะไม่ถูกจริตของท่านมากนัก เพราะนาระเป็นเมืองเล็กๆ สงบๆ แหล่งท่องเที่ยวแนะนำส่วนใหญ่มีแต่วัดและศาลเจ้า แต่ความเล็กๆ สงบๆ นี่แหละที่เราว่ากลับมีเสน่ห์ที่ชวนให้เรามาสัมผัส

เช้าวันนั้นซึ่งเป็นต้นเดือนตุลาคม เรากับเพื่อนออกจากโอซาก้าในช่วงสาย นั่งรถไฟไปลงสถานี Kintetsu Nara เพราะมองว่าใกล้กับจุดหมายของเราคือ “วัดโทไดจิ” มากกว่าสถานี JR Nara ซึ่งเป็นสถานีรถไฟของรัฐบาล

ดูพยากรณ์อากาศมาแล้วว่าวันนี้ฝนตกทั้งวัน แต่จะให้หยุดเที่ยวเพราะฝนก็คงไม่ใช่ เราจึงไม่ลืมที่จะพกร่มติดตัวมาด้วย

ถึงสถานี Kintetsu Nara ออกมาข้างนอกหามื้อเช้าจากมินิมาร์ทใกล้ๆ ก่อนจะขึ้นรถบัสสายเส้นทางท่องเที่ยวไปลงยังวัดโทไดจิ แต่ขอบอกก่อนว่ารถบัสที่นี่มีวิธีการขึ้นที่แตกต่างจากในเกียวโตแบบคนละขั้ว คือในเกียวโตจะให้เราขึ้นประตูหลัง จ่ายเงินก่อนลง แล้วลงที่ประตูหน้า ส่วนที่นาระให้เราขึ้นที่ประตูหน้า ขึ้นไปปุ๊บจ่ายเงินเลย แล้วลงที่ประตูหลัง

นั่งมาประมาณ 3-4 ป้ายก็มาถึงบริเวณหน้าวัดโทไดจิซึ่งอยู่ติดกับสวนสาธารณะนาระ หรือ Nara Park ลงจากรถบัสก็ยังคงคอนเซ็ปต์กางร่มกันฝนกันต่อ และเนื่องจากเมืองนาระเป็นเมืองที่มีกวางอยู่ในที่สาธารณะ (ออกแนวลิง จ.ลพบุรี บ้านเรา) สิ่งแรกที่สัมผัสได้ในโซนนี้คือกลิ่นขี้กวางที่ปะทะจมูกแบบรุนแรงมาก ยังไม่ได้เดินไปไหนก็มีกวางเดินเข้ามาหาเรากันเลย

ระหว่างทางที่เดินไปประตูหน้าวัด ก็จะมีร้านขนม ของฝากขายข้างทางมากมาย ส่วนใหญ่แล้วของฝากหรือของที่ระลึกก็จะเป็นสินค้าที่มีรูปกวางเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ บนทางเดินและสองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยกวาง กวาง กวาง และกวาง ทั้งตัวผู้ ตัวเมีย ตัวเต็มวัย และกวางเด็ก เดินเรียงรายขออาหารจากนักท่องเที่ยว หรือไม่ก็นอนหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้

เดินเรื่อยๆ ผ่านมวลมหากวางมาจนถึงประตูวัดขนาดใหญ่ ทำจากไม้ เราจะเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่มากๆ อยู่ทั้งสองข้างประตู โดยเป็นรูปปั้นที่เชื่อว่ามีหน้าที่เฝ้าประตูนั่นเอง

ผ่านประตูแรกเข้ามาแล้ว เดินเข้ามาด้านในเราไม่พบกวางอีกจากนั้นเดินเข้ามาเรื่อยๆ จะเจอกับประตูที่สองที่มีสีแดง บริเวณนี้จะเป็นจุดซื้อบัตรเข้าไปชมวิหารของวัดโทไดจิ โดยบัตรมีราคา 500 เยน ส่วนใครจะชมพิพิธภัณฑ์ด้วยก็มีอีกราคาหนึ่งนะจ๊ะ

 

เล่านิดนึงว่า วัดโทไดจิ (Todaiji) เป็นวัดพุทธที่ประดิษฐาน พระไดบุตสึ (Daibutsu) พระพุทธรูปขนาดสูง 15 เมตร หรือที่คนไทยเรียกว่าหลวงพ่อโต เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น ถูกสร้างขึ้นในปี 752 เป็นเหมือนศูนย์กลางของวัดทั้งหมดในประเทศ และมีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น

 

อาคารหลักของวัดเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันอาคารหลังนี้มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของอาคารดั้งเดิมเท่านั้น ภายในนอกจากจะมีหลวงพ่อโต พระโพธิสัตว์ด้านข้าง และประวัติการสร้างวัดแล้ว สิ่งที่ถือเป็นไฮไลต์ที่ทุกคนสนใจก็คือ เสาไม้ยักษ์ ด้านล่างของเสามีช่องขนาดไม่ใหญ่มาก ที่มีความเชื่อว่าหากใครสามารถลอดผ่านช่องนี้ไปได้ก็จะสามารถตรัสรู้ได้ในชาติหน้า

ตอนแรกเรากับเพื่อนกะว่าจะไปต่อแถวลอดเสากับเขาบ้าง แต่วันนั้นมีนักเรียนญี่ปุ่นมาทัศนศึกษาแล้วต่อแถวยาวมาก เลยได้แต่ไปยืนดูคนอื่นลอดเสา วัยผู้ใหญ่นี่หลายคนลุ้นหนักเลยทีเดียวว่าจะออกมาได้ไหม

แวะซื้อของที่ระลึกและเครื่องรางในวิหารกันนิดหน่อย ก่อนจะออกไปแวะชมเหล่ากวางด้านนอก ซึ่งในบริเวณนี้จะมีร้านขายอาหารให้กวางที่เรียกว่า ขนมเซนเบ้ (Senbei) มีลักษณะเป็นแผ่นแป้ง เป็นขนมสำหรับกวางโดยเฉพาะ แต่จากที่เราดูแล้ว อาจจะต้องแนะนำว่าใครซื้อขนมมาให้กวาง ต้องรีบให้ให้หมดๆ ไปเลย เพราะเหล่าน้องกวางผู้หิวโหยเหล่านี้ไม่มีปรานีปราศรัย ทุกตัวพร้อมจะรุมทึ้งเหล่ามนุษย์ที่ถืออาหารสำหรับมันชนิดที่เรียกว่าบางตัวก็มารยาทไม่งามเท่าไหร่นัก ทั้งดึงเสื้อ งับมือ ส่วนเราที่ไม่ซื้อขนมนั้นก็ได้แบมือเปล่าใส่พวกมันไปแล้วบอกว่า “ไม่มีขนมนะ” มันถึงจะเชื่อแล้วเดินหนีไป ไม่งั้นก็เดินตามมาเรื่อยๆ เลยแหละ

ที่ทำให้ตกใจอยู่บ้างก็คือกวางตัวผู้วัยกระสัน ที่ส่งเสียงร้องโชว์ตัวเมียอยู่เป็นเนืองๆ แต่ก็ทำให้เราตกใจได้ แถมบางครั้งที่ต้องระวังคือ กวางตัวผู้เหล่านี้ หลายตัวพยายามจะขึ้นขี่ตัวเมีย แต่ตัวเมียไม่ยอม ใครอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะโดนลูกหลงที่พวกมันทะเลาะกันได้

ฟังดูแล้วอาจจะมองว่าทำไมพวกมันดูดุร้ายและน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วก็มีกวางหลายตัวที่น่ารักและเชื่องมากๆ ถึงขนาดที่ลูบหัวเล่นได้แม้เราไม่มีขนมให้มันก็ตาม

ที่น่าสลดใจคือ ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้พฤติกรรมของกวางเปลี่ยนไปจากการหาอาหารกินเองมาเป็นรอนักท่องเที่ยวให้อาหาร ซึ่งเหตุการณ์ที่น่าหดหู่สำหรับเรามากคือ บางครั้งพวกมันก็แยกไม่ออกว่าอะไรคืออาหารบ้าง หลังมีนักท่องเที่ยวจีนกำลังจะให้ขนมมัน แต่ดันทำถุงพลาสติกร่วง เจ้ากวางน้อยก็รีบงับถุงพลาสติกเข้าปากทันที ซึ่งนักท่องเที่ยวคนนั้นก็พยายามดึงออกจากปากมันแต่มันก็ไม่ปล่อย จนสุดท้ายมันก็กลืนถุงพลาสติกนั้นลงท้องไป เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารไม่ได้

เราแวะกินขนมที่น่าจะเป็น ไดฟูกุสตรอว์เบอรี่ ในร้านเล็กๆ บริเวณหน้าวัด สตรอว์เบอรี่ลูกโตรสชาติเปรี้ยวๆ ตัดกันได้ดีกับแป้งหวานๆ เห็นในมือแบบนี้ราคาอันละ 300 เยน หรือประมาณ 90 บาทจ้า

 

ฝนที่ไม่ยอมหยุดพาให้เรากับเพื่อนตัดสินใจกลับโอซาก้าเลย แทนที่จะไปเที่ยวสถานที่อื่นๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ด้วยเป็นวันที่เราไม่เร่งรีบ เรากับเพื่อนเลยพากันเดินกลับไปสถานีรถไฟ

บรรยากาศระหว่างทางเราว่าเมืองนี้ก็ยังเป็นเมืองที่เงียบมากๆ แม้จะเป็นวันหยุดของจีนที่มีชาวจีนมาญี่ปุ่นเยอะมาก แถมนี่ยังเป็นเส้นทางท่องเที่ยว เมืองนาระกลับดูไม่วุ่นวาย รถไม่ติด การจราจรไม่คับคั่ง เราเดินเรื่อยๆ ชิลๆ ผ่านอุโมงค์ข้ามแยกแทนที่จะเป็นทางม้าลายแบบแยกอื่น เลยเป็นสถานที่ให้หลบฝนได้เลย

ความสวยงามเล็กๆ ในวันฝนตกแบบนี้ก็ยังเป็นใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว จนเราคิดว่าหากมาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี นาระก็คงเป็นเมืองที่มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่น่าสนใจไม่น้อย

เพลิดเพลินกับสองข้างทางจนสุดท้ายก็มาถึงสถานีรถไฟจนได้ บริเวณด้านข้างสถานีมีตลาดเล็กๆ ขายของกิน ขนม และของฝากรูปกวางมากมาย สมกับเป็นเมืองกวางจริงๆ แม้กระทั่งแมคโดนัลด์ก็ยังมีกวางเป็นมาสคอตหน้าร้าน

เอาเป็นว่าใครไปเที่ยวแถบคันไซ อยากหาวันพักผ่อนชิลๆ ไม่ต้องเดินขาลาก เที่ยวได้แบบวันเดย์ทริป “เมืองนาระ” ก็เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจเลยแหละ

 

 

ข้อมูลบางส่วนจาก www.talonjapan.com