หัวหน้าแอมเนสตี้ฯ ยูเครนลาออก เซ่นรายงานวิจารณ์กองทัพเซเลนสกี

แอมเนสตี้ องค์กรนิรโทษกรรมสากล
Photo by ISAAC LAWRENCE / AFP

หัวหน้าองค์กรนิรโทษกรรมสากลในยูเครนลาออก หลังเกิดข้อถกเถียงถึงรายงานวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ ชี้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้เเก่การรุกราน ทางการยูเครนพร้อมใจประณามรายงานดังกล่าว โยงเเอมเนสตี้ฯเป็นส่วนหนึ่งของการเผยเเพร่โฆษณาชวนเชื่อรัสเซีย

วันที่ 8 สิงหาคม 2565 วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า หัวหน้าองค์การนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นเเนล ในยูเครนเปิดเผยว่า เธอกำลังจะลาออกจากตำเเหน่ง หลังจากที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเเห่งนี้ได้ออกรายงานที่วิพากษ์วิจารณ์การจัดตั้งกองทัพของยูเครน

ซึ่งจุดกระเเสความไม่พอใจในหมู่เจ้าหน้าที่ของยูเครนที่กล่าวว่า เป็นการตำหนิเหยื่อในสงครามของรัสเซียอย่างไม่เป็นธรรม

อ็อกซานา โพคาลชัค หัวหน้า ผู้ซึ่งเป็นหัวหอกในการทุ่มเทพยายามนำองค์กรนิรโทษกรรมสากลให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในยูเครน โพสต์เฟซบุ๊กว่า “นี่เป็นอีกหนึ่งความสูญเสียที่สงครามได้พรากไปจากฉัน”

เธอระบุว่า เเม้เธอจะภูมิใจในผลงานที่องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือเเอมเนสตี้ฯ ได้ทำขึ้นเพื่อเน้นย้ำถึงอาชญากรรมสงครามของรัสเซีย แต่รายงานที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่เเล้ว (4 ส.ค.) ซึ่งมีเนื้อหากล่าวหาว่า “ยุทธวิธีการต่อสู้ของยูเครนเป็นอันตรายต่อพลเรือน” กลับกลายเป็นชนวนความขัดเเย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ในสำนักงานของยูเครน เเละสำนักงานใหญ่ขององค์กรนิรโทษกรรมสากล

โพคาลชัคกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ขององค์กรในยูเครนเร่งรัดให้องค์กรนิรโทษกรรมสากลอนุญาตให้กระทรวงกลาโหมของยูเครนออกความเห็นตอบกลับถึงข้อค้นพบของรายงานอันเป็นที่ถกเถียงดังกล่าว ก่อนเผยเเพร่เเล้ว แต่ทางสำนักงานใหญ่ขององค์กรกลับให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการตอบกลับ “เเค่เพียงน้อยนิด”

เธอยังกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เอง เเม้ว่าจะไม่เต็มใจ ทางองค์กรได้สร้างเนื้อหาที่ฟังดูเหมือนจะสนับสนุนเเนวคิดความชอบธรรมของรัสเซีย”

รายงานเเอมเนสตี้ฯ แฉยูเครนตั้งฐานทัพทหารในหมู่บ้านพลเรือน

ในรายงานดังกล่าวระบุว่า กองกำลังของยูเครนได้ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายผ่านการสร้างฐานทัพเเละวางอาวุธในพื้นที่ที่มีประชากรหนาเเน่น ทั้งในโรงเรียนเเละโรงพยาบาลต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังชี้ว่า มีหลักฐานที่กองกำลังของยูเครนเปิดฉากโจมตีจากด้านในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาเเน่น เช่นเดียวกับการตั้งฐานทัพอยู่ในตึกของพลเรือนในเมืองกว่า 19 เเห่งเเละหมู่บ้านต่าง ๆ ในเเต่ละภูมิภาค

ซึ่งการละเมิดดังกล่าว “ไม่ได้เเสดงถึงความชอบธรรมในการโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าของรัสเซียแต่อย่างใด”

เเอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการเเห่งองค์กรนิรโทษกรรมสากล กล่าวในการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานว่า สถานะของผู้ถูกโจมตีไม่ได้ถือเป็นข้ออ้างให้กองทัพยูเครนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเลย

ก่อนหน้านี้ คาลามาร์ดกล่าวว่า รัสเซียฝ่าฝืนอธิปไตยของยูเครนเเละท้าทายโครงสร้างความมั่นคงของโลก พร้อมเรียกการบุกรุกยูเครนว่า เป็นหายนะที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรปช่วงที่ผ่านมา

เซเลนสกีเดือด โต้กลับรุนเเรง

อย่างไรก็ตาม ข้อความในรายงานของแอมเนสตี้ฯ จุดชนวนให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ยูเครน ซึ่งนำโดยประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ที่ออกมาประณามเเอมเนสตี้ฯ อีกครั้งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 ส.ค.) ว่าเพิกเฉยต่อการโจมตีของรัสเซีย ในกรณีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในเมืองซาโปริซเซียของยูเครน

พร้อมกล่าวด้วยว่า “นี่ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติอย่างบิดเบือนขององค์กรนี้”

จากก่อนหน้านี้ มีรายงานจากองค์กรถูกเผยเเพร่ และประธานาธิบดีเซเลนสกีได้ตอบกลับถึงข้อวิพากษ์ดังกล่าวว่า เเอมเนสตี้ฯกำลังพยายาม “นิรโทษกรรมรัฐผู้ก่อการร้ายเเละผลักความรับผิดชอบจากผู้รุกรานมายังเหยื่อ”

ขณะที่ คาลามาร์ด กล่าวถึงการลาออกของ โพคาลชัค ผ่านแถลงการณ์ยกย่องว่า เธอมีผลงานทางด้านสิทธิมนุษยชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เเละเสียใจที่ได้ทราบว่าเธอจะลาออกจากองค์กร เเต่ก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ เเละขออวยพรให้เธอประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ ในแถลงการณ์แยกอีกฉบับเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา องค์กรนิรโทษกรรมสากลกล่าวว่า “ทางองค์กรรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความเศร้าเเละความโกรธ” ที่เกิดขึ้นจากแถลงการณ์ดังกล่าวเกี่ยวกับยุทธวิธีของยูเครน พร้อมกล่าวว่า “เรายืนยันอย่างหนักแน่นต่อข้อค้นพบของเรา” และย้ำว่า แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้สร้างความชอบธรรมให้กับรัสเซียแต่อย่างใด โดยรัสเซียต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว

คาลามาร์ดยังได้ทวีตข้อความตอบกลับถึงข้อตำหนิด้วยการพาดพิงถึงกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีในโซเชียลมีเดียด้วยการโจมตีการสืบสวนของแอมเนสตี้ฯ และกล่าวหาว่า นี่คือโฆษณาชวนเชื่อของสงคราม (War Propaganda) และเป็นการเผยแพร่การบิดเบือนข้อมูล

ขณะที่ทางฝั่งยูเครนตอบโต้ว่า รายงานของแอมเนสตี้ฯต่างหากที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และช่วยส่งเสริมความพยายามบิดเบือนข้อมูลของรัสเซีย

มิกไคโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ทวีตข้อความว่า “ชีวิตของผู้คนเป็นความสำคัญหลักสำหรับยูเครน นั่นคือเหตุผลที่เราอพยพผู้อยู่อาศัยในเมืองแนวหน้า” เขายังได้กล่าวว่า รัสเซียกำลังพยายามทำให้กองทัพยูเครนเสื่อมเสียในสายตาชาวตะวันตก

พร้อมทวีตด้วยว่า “เป็นเรื่องน่าละอาย” ที่องค์กรนิรโทษกรรมสากล “เข้าร่วมในการรณรงค์บิดเบือนข้อมูลและเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อนี้”


ขณะที่ผู้สนับสนุนชาวยูเครนจำนวนมากวิจารณ์ คาลามาร์ดอย่างรุนเเรง เเละเรียกร้องให้เธอลาออกจากตำแหน่ง ผ่านเทรนด์ในทวิตเตอร์ #AgnesCallamardMustResign