คลังหารือ ธปท.กำชับแบงก์พาณิชย์ตรึงดอกเบี้ยนานที่สุด

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ

รมว.คลังหารือผู้ว่าการ ธปท.กำชับแบงก์พาณิชย์ตรึงดอกเบี้ยนานที่สุด ชี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ส่งผ่านไปยังสถาบันการเงิน 3-6 เดือน

วันที่ 10 สิงหาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ โดยหลายฝ่ายมีการประเมินว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายนั้น ว่าที่ผ่านมากระทรวงการคลังมีการหารือร่วมกับผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการขอความร่วมมือไปยังธนาคารพาณิชย์ เช่นเดียวกันที่กระทรวงการคลังที่ได้ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินของรัฐ (SFIs) ในการตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุด

“การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน ที่จะส่งผ่านไปยังสถาบันการเงินในการปรับขึ้นดอกเบี้ย และดอกเบี้ยฝั่งเงินกู้มักขึ้นเร็วกว่าดอกเบี้ยฝั่งเงินฝาก แต่เชื่อว่าสถาบันการเงิน ยังต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจประกอบด้วย เพราะหากปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไป ก็อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งยอดการขยายสินเชื่อได้เช่นกัน” นายอาคมกล่าว

ส่วน กนง.จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเท่าไหร่นั้น นายอาคมกล่าวว่า ยังต้องรอติดตามการแถลงหลังการประชุม กนง.ว่าจะให้น้ำหนักไปที่ปัจจัยใดมากกว่ากัน ระหว่างปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลง ป้องกันการเคลื่อนย้ายของเงินทุน

เนื่องจากขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐมีความต่างกันมากขึ้น อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกได้ ดังนั้นจึงต้องลดช่องว่างของดอกเบี้ยบ้าง เพื่อรักษาไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน แม้ขณะนี้ ธปท.จะชี้แจงว่าขณะนี้เงินทุนยังไม่ได้ไหลออกมาก และยังมีเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาอยู่ ก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย

“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงโควิด ไม่ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ แต่เมื่อโควิดคลี่คลายลง ธุรกิจเริ่มเดินได้ เศรษฐกิจเริ่มเดินได้ เครื่องมือการเงินและการคลัง ก็ต้องกลับมาใช้เครื่องมือในภาวะปกติ เช่น การจัดหารายได้ภาครัฐในการขยายฐานรายได้ การส่งเสริมการส่งออก ส่วนภาคการเงินเครื่องมือที่สำคัญ คืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ เครื่องมือก็ต้องทำงาน”

ขณะที่มาตรการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) เหลือ 0.125% ต่อปี จากเดิม 0.25% ต่อปีไปจนถึงสิ้นปี 2565 นั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงกำหนดและมีเวลา ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการขอความร่วมมือในการตรึงดอกเบี้ย


เนื่องจากกรณีการนำส่งเงินเข้ากองทุนนั้นยังมีความจำเป็น และกระทรวงการคลังได้ลดการนำส่งเงินลงให้ถึง 2 ปี ซึ่งในเรื่องของดอกเบี้ยนโยบาย หากเป็นฝั่งธนาคารพาณิชย์ก็จะดูในเรื่องของกำไรขาดทุน แต่ฝั่งแบงก์รัฐจะดูในเรื่องของการสนองนโยบายของรัฐในการดูแลช่วยเหลือภาคธุรกิจและภาคประชาชน ซึ่งเป็นหลักการที่ทำให้เกิดแบงก์รัฐขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว