ไทยสมุทร กำไร 1.2 พันล. เป้าโต 5% หวังเลือกตั้งช่วยเสถียรภาพลงทุน

ไทยสมุทรประกันชีวิต ปี 2565 โกยกำไร 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% รีเทิร์นลงทุนโตกว่า 5.04% เบอร์ 1 ในตลาด ตั้งเป้าปีนี้เบี้ยรวมโต 5% แตะ 1.58 หมื่นล้านบาท หวังการเลือกตั้งใหม่ช่วยสร้างเสถียรภาพการลงทุน-ตลาดหุ้น

 

วันที่ 11 มีนาคม 2566 นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต (Ocean Life) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิกว่า 1,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 29% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) โดยสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงถึง 5.04% เป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมประกันชีวิตไทย มีพอร์ตสินทรัพย์รวมอยู่กว่า 98,167 ล้านบาท

โดยปีที่แล้วสามารถสร้างผลงานเบี้ยประกันชีวิตรับรวมได้อยู่ที่ 15,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YOY มาจากเบี้ยรับรายใหม่ 2,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% และเบี้ยปีต่ออายุอีก 12,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ 86% มีเงินสำรองประกันชีวิตกว่า 78,785 ล้านบาท และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย(CAR) สูงกว่า 435.28%

สำหรับในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าเบี้ยรับรวมจะเติบโต 5% ขยับมาอยู่ที่ 15,800 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเติบโตที่สูงกว่าตลาดค่อนข้างมาก จากทางสมาคมประกันชีวิตไทยได้คาดการณ์เบี้ยรับรวมทั้งอุตสาหกรรมฯปีนี้จะเติบโตระหว่าง 0-2%

ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าที่ไม่ง่ายและค่อนข้างมีความท้าทายอยู่มาก เนื่องจากปีนี้อยู่ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินที่ยังมีความผันผวนอยู่ ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่องบการเงินของบริษัท โดยเฉพาะการปรับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิให้สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรม (mark to market) ที่ต้องบริหารจัดการให้รอดตายไปได้

ขณะที่ภายใต้การเลือกตั้งใหม่ของประเทศไทย ในสายตาของนักธุรกิจก็ต้องการให้มีความเสถียรภาพ ไม่มีการทะเลาะกันไปมา เพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นได้เชื่อว่าภาพตลาดหุ้นหรือผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) น่าจะมีเสถียรภาพขึ้นตามมาแน่นอน

อย่างไรก็ดีจากความกังวลดังกล่าวเราจึงคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้จะอยู่ในระดับกว่า 4% ก็ถือว่าพอใจแล้ว ส่วนการเติบโตของเบี้ยประกันนั้น ยอดขายผ่านช่องทางตัวแทนยังคงสร้างรายได้หลัก

โดยปีนี้มีแผนจะเพิ่มจำนวนตัวแทนใหม่อีกกว่า 4,000 คน นอกจากนั้นพยายามสร้างการเติบโตผ่านช่องทางประกันกลุ่ม รวมไปถึงช่องทางทางเลือก (alternative) ที่ขายประกันผ่านคู่ค้าต่าง ๆ มากขึ้นด้วย

นางสาวสุวรรณ อุดมเฉลิมเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานลงทุน บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต กล่าวว่า ตอนนี้โครงสร้างพอร์ตลงทุนของบริษัทประมาณ 30-35% เป็นการลงทุนพันธบัตรรัฐบาล และ 35-40% ลงทุนในหุ้นกู้ทั้งในและต่างประเทศ มีอันดับเครดิตเรทติ้ง A ขึ้นไป

ลงทุนในตลาดหุ้น 3% และอีก 15% เป็นการปล่อยสินเชื่อโครงการ (Project Loan) เช่น บ้านที่อยู่อาศัย, คอนโดมิเนียม ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นการให้บริการกู้ยืมเงินตามกรมธรรม์

โดยการจัดพอร์ตของบริษัทจะอยู่ภายใต้การบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน (Asset Liability Management: ALM) อย่างระมัดระวังมาก เพราะหากมีความผันผวนอะไรเกิดขึ้นในตลาดก็จะไม่ได้เป็นกังวลมาก

ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุนปีนี้หากเห็นจังหวะบอนด์ยีลด์ดีดตัวเป็นขาขึ้น จะนำเงินใหม่ที่ได้รับจากเบี้ยประกันไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น นอกจากนี้พยายามมองหาการขยายการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วย โดยยังคงยึดหลักปัจจัยพื้นฐานและความยั่งยืนเป็นสำคัญ


ส่วนแผนการปล่อยกู้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ (Syndicate Loan) อาจจะต้องประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนก่อน หากจูงใจก็อาจจะเข้าไปลงทุนได้ในอนาคต