
เหตุผลหนึ่งที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลาออก จาก ส.ส.ขอให้มีผลย้อนหลัง วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง อาจเสี่ยงต่อการขาดคุณสมบัติ ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (15) หรือไม่
วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 แหล่งข่าวจากสภาผู้แทนราษฎร รายหนึ่งตั้งข้อสังเกตุว่า การลาออกจาก ส.ส.ของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างไทย (รทสช.) โดยระบุไว้ในจดหมายลาออก ที่ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่ส่งถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบุตอนหนึ่งว่า “เนื่องด้วยปัจจุบันผมดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมี ครม. ชุดใหม่”
“…จึงขอลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2566”
แหล่งข่าวระบุว่า หนังสือลาออกดังกล่าว “ขอมีผลย้อนหลัง” 47 วัน จากวันที่ลงไว้ในจดหมายลาออก คือวันที่ วันที่ 30 มิถุนายน ตั้งแต่วันเลือกตั้งทั่วไป 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งนายพีระพันธ์ ได้รับเลือกตั้ง ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยหากนายพีระพันธ์ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน รับตำแหน่ง ส.ส. แล้วแม้แต่วันเดียว ก็อาจจะถูกร้องว่า “ขาดคุณสมบัติ” ได้
อย่างไรก็ตามในวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก โชว์หนังสือลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยมีข้อความระบุ ว่าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ผมยืนยันอีกครั้งว่าผมเลือกที่จะอยู่เคียงข้าง “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จนวินาทีสุดท้ายของท่านในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ข้อความระบุด้วยว่า “นั่นเป็นการโพสต์หลังจากที่ผมได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเรียนไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เรียบร้อยแล้ว มีหลายท่านถามถึงเหตุผล ผมขอบอกตรง ๆ ว่า ผมต้องการอยู่ทำงานกับท่านนายกฯ เพราะรักและศรัทธาท่าน และยังมีภารกิจที่ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย ก็เท่านั้นครับ ไม่มีแผนซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรตามที่วิเคราะห์วิจารณ์กันไปใหญ่โต”
“ผมบอกตรง ๆ ว่าผมเป็นคนแบบนี้ พ่อแม่ผมอบรมสั่งสอนผมมาแบบนี้ โรงเรียน ครูบาอาจารย์สอนผมมาแบบนี้ แบบที่ให้เรามีความจริงใจ ตรงไปตรงมา รักษาคำพูด รู้คุณคน ร่วมทุกข์สุข และไม่ทิ้งใครไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ไม่มีแผน ไม่สร้างภาพ ตามนั้นนะครับ”
สำหรับความเสี่ยงที่นายพีระพันธ์ จะถูกร้องว่าขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หรือขาดคุณสมบัติ ส.ส. หรือไม่นั้น มีมาตราที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 98 บัญญัติให้บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
1.ติดยาเสพติดให้โทษ
2.เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
3.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
4.เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 96 (1) (2) หรือ (4)
5.อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
6.ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
7.เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
8.เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
9.เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
10.เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
11.เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
12.เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง
13.เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
14.เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี
15.เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
16.เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
17.อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
18.เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา 144 หรือมาตรา 235 วรรคสาม
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 184 ที่บัญญัติว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้อง (1) ไม่ดํารงตําแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น