
สภาอุตฯลดเป้าขายรถยนต์ทั้งปี 5 หมื่นคัน เชื่อจบปี 2567 ทำได้แค่ 7 แสนคัน ชี้หนี้ครัวเรือนยังสูง กำลังซื้อตกต่ำ เม็ดเงินหายกว่า 5 หมื่นล้าน หวังครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากการลงทุนภาครัฐ
วันที่ 26 มิถุนายน 2567 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราต่ำและการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังไม่พร้อมเต็มที่ สภาอุตฯได้ลดเป้าขายรถยนต์ปี 2567 ลงจากเดิม 7.5 แสนคันเหลือเพียง 7 แสนคัน (ลดลง 5 หมื่นคัน)
นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า สำหรับการผลิตเพื่อขายในประเทศเดือนพฤษภาคม 2567 ประเทศไทยผลิตรถยนต์ได้ 37,353 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว 38.57% ส่วน 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2567) ผลิตได้ 210,525 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 36.23%
ส่วนจักรยานยนต์ ยอดผลิต 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2567) มีจำนวนทั้งสิ้น 1,013,665 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 5.64% โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 837,975 คัน ลดลง 8.96% แต่ชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 175,690 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 14.21%
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,871 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 23.38% เป็นเพราะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง รวมทั้งเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวในอัตราต่ำ การลงทุนของภาครัฐลดลง ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงติดต่อกันมากกว่า 10 เดือน โรงงานหลายแห่งลดเวลาทำงานลง และมีการเลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นอัตรา คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และปี 2568 ที่กำลังพิจารณาในสภา แต่เศรษฐกิจจะขยายตัวถึง 3% หรือไม่ ยังน่ากังวล ถ้ายอดผลิตรถยนต์และขายรถยนต์และขายอสังหาริมทรัพย์ยังติดลบ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ทั้งปีลง 5 หมื่นคัน จาก 7.5 แสนคันเหลือ 7 แสนคัน จะทำให้เม็ดเงินในประเทศหายไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยคิดเฉลี่ยจากราคารถยนต์ต่อคันราคา 1 ล้านบาท