
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ จับตาประชุมธนาคารกลาง ล่าสุดข้อมูลจาก Fed Watch Tool แสดงให้เห็นว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 97.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุม 17-18 ธ.ค.นี้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศตลาดคาดการณ์เฟดจะคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 18 ธ.ค.นี้
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (16/12) ที่ระดับ 34.14/15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (13/12) ที่ระดับ 34.15/16 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์ลดแรงบวกลงเมื่อเทียบเงินสกุลหลัก โดย Dollar Index เปิดตลาดปรับตัวลดลงที่ระดับ 106.89 จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากวันศุกร์ (13/12) ที่ระดับ Dollar Index ปรับตัวแข็งค่าเหนือระดับ 107 จากปัจจัยของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งบ่งชี้ถึงเงินเฟ้อยังสูงกว่าคาดการณ์และเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ 2% รวมถึงการอ่อนค่าลงของค่าเงินยูโร ปอนด์ และหยวน
โดยในสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาผลการประชุมของเฟดที่จะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ธ.ค. อย่างใกล้ชิด โดย ณ ปัจจุบัน ข้อมูลจาก Fed Watch Tool แสดงให้เห็นว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 97.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่ระดับ 4.25-4.50%
ด้านปัจจัยภายในประเทศ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังกล่าวในวันนี้ (16/12) ว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 ธ.ค.ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้นั้น โดยส่วนตัวอยากเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 2.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยของโลก
และในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (17/12) จะยังไม่มีการเสนอชื่อบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบถามความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ยังไม่ครบถ้วน โดยตามกำหนดถือว่ายังมีเวลาดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ถึงกลางเดือน ม.ค. 2568 ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่มีปัญหาอะไร
เช่นเดียวกับการเสนอกรอบนโยบายการเงินหรือกรอบเงินเฟ้อปี 2568 ที่จะยังไม่มีการนำเสนอให้ ครม.พิจารณาในสัปดาห์นี้เช่นกัน แต่คาดว่าจะเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ภายในปีนี้แน่นอน นักลงทุนรอติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
โดยตลาดคาดการณ์ว่า กนง.อาจมีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.25% แต่อาจส่งสัญญาณพร้อมปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในกรณีที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้มาก
ทั้งนี้ระหว่างวันบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.03-34.16 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 34.04/05 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (16/12) ที่ระดับ 1.0511/12 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (13/12) ที่ระดับ 1.0488/89 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยในวันนี้ (16/12) ช่วงบ่ายมีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจหลายรายการของยุโรป
อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของฝรั่งเศสในเดือน ธ.ค. ซึ่งออกมาที่ระดับ 41.9 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 43.2 และเดือนก่อนหน้าที่ 43.1 และในส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการเบื้องต้นในเดือน ธ.ค.ของฝรั่งเศสออกมาที่ระดับ 48.2 สูงกว่าคาดการณ์และเดือนก่อนหน้าที่ 46.9
โดยในระหว่างวันค่เงินยูโรเคลือนไหวในกรอบระหว่าง 1.0483-1.0524 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0512/13 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (16/12) ที่ระดับ 153.87/88 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (13/12) ที่ระดับ 153.47/48 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนอ่อนค่าหลังมีกระแสข่าวว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังไม่มีปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่สำนักข่าวรอยเตอร์สำรวจความคิดเห็นคาดการณ์ว่า BOJ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.25% ในการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 18-19 ธ.ค. โดยประเมินจากความเสี่ยงในต่างประเทศและแนวโน้มค่าจ้างในปีหน้า
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันนี้ (16/12) สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่ายอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานของญี่ปุนเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือน ต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน คาดการณ์ที่จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.2%
นอกจากนี้ au Jibun Bank ได้เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นของญี่ปุ่นอยู่ที่ 49.5 ในเดือน ธ.ค. ปรับตัวขึ้นจาก 49.0 ในเดือน พ.ย. แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 มาตั้งแต่เดือน มิ.ย. ซึ่งดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจยังคงอยู่ในภาวะหดตัว โดยในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 153.30-153.97 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 153.67/68 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือน ธ.ค. (16/12), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการขั้นต้นเดือน ธ.ค.จาก S&P Global (16/12), ยอดค้าปลีกเดือน พ.ย. (17/12), การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย. (17/12),
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย (18/12), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (19/12), ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2567 (19/12), ดัชนีการผลิตเดือน ธ.ค. จากเฟดฟิลาเดลเฟีย (19/12), ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน พ.ย.จาก Conference Board (19/12), ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน พ.ย. (20/21), ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือน ธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (20/12)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -8.00/-7.70 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -6.23/-5.19 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในรอบสัปดาห์นี้ ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (18 ธ.ค.) ผลการประชุม FOMC (17-18 ธ.ค.) และ Dot Plot ของเฟด ผลการประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) ผลการประชุม BOE (19 ธ.ค.) การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน รวมถึงสัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก