กรมธุรกิจพลังงาน เปิดโครงการ ‘ติดปีกธุรกิจพลังงานไทย’ ดันผู้ค้าน้ำมันเข้าสู่ระบบดิจิทัล

กรมธุรกิจพลังงาน เตรียมเดินหน้าเสริมแกร่งผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่สำนักงานพลังงานจังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมกฎหมายใหม่ล่าสุด พัฒนาการให้บริการ e-Service ก้าวทันยุคดิจิทัล

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ด้านการกำกับดูแลธุรกิจพลังงานให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือ โครงการ “ติดปีกธุรกิจพลังงานไทย”  มีเป้าหมายหลัก คือ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบกิจการธุรกิจพลังงาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานพลังงานจังหวัด ในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง กฎหมายว่าด้วยการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงนโยบายพลังงานที่สำคัญของกรมธุรกิจพลังงานที่กำลังขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม

โดยกรมธุรกิจพลังงาน จะเดินหน้าลงพื้นที่จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ใน 18 กลุ่มจังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.-30 ก.ย. 2568 ภารกิจสำคัญในแต่ละพื้นที่ คือ การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่มีการออกหรือปรับปรุงใหม่ การแนะนำระบบการให้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ

โดยแต่ละปีจะมีผู้ประกอบการที่ต้องการติดต่อกับกรมจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้มาขอใบอนุญาตกิจการควบคุม รวมถึงใบจดแจ้งต่าง ๆ รวมประมาณ 7-8 หมื่นใบต่อปี และมีผู้ค้ารายย่อยที่ต้องติดต่อกับกรม ประมาณ 25,000 ราย รวมถึงกลุ่มรถขนส่งประมาณ 2,000-3,000 ราย  ซึ่งปกติกระบวนการขอใบอนุญาตจะใช้เวลาประมาณ 30-60 วัน แต่เมื่อมีระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยจะทำให้การจดแจ้งต่าง ๆ เร็วขึ้น 7-15 วัน

“ผู้ประกอบการของกรมธุรกิจพลังงาน ประกอบด้วย ผู้ค้ารายย่อยกว่า 26,000 ราย และผู้ประกอบการรถขนส่งอีก 2,000 ราย และมีผู้ประกอบการอื่น ๆ ดังนั้นการดำเนินการของกรมธุรกิจและภาครัฐจะมุ่งไปสู่ออนไลน์ ต่อจากนี้ผู้ประกอบการจะไม่ต้องเข้ามาที่กรมสะดวกและรวดเร็วขึ้น”

นอกจากนี้ โครงการยังเปิดพื้นที่สำหรับรับฟังข้อคิดเห็นและปัญหาอุปสรรคจากผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานของกรมธุรกิจพลังงานให้ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือการก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation)