ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น-ความต้องการใช้น้ำมันจีนชะลอตัวลง

– ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก หลังค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ประกอบกับตลาดกังวลว่าความต้องการใช้น้ำมันของจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลง หลังโรงกลั่นในประเทศปรับลดกำลังการกลั่นในเดือน ก.ค. 60 ลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนที่ประมาณ 10.71 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปัญหาอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปล้นตลาดและการแข่งขันในประเทศที่สูงขึ้นจากโรงกลั่นเอกชนที่เพิ่มกำลังการกลั่นสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

– ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินและส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมัน หลังนักลงทุนคลายความวิตกในประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนกลับเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อีกครั้ง

– สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบชั้นหินดินดาน (Shale Oil) จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 117,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.ย. มาอยู่ที่ 6.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 9 เดือนติดต่อกัน โดยการคาดการณ์นี้ได้รวมแหล่ง Anadarko ซึ่งเป็นแหล่งที่มีจำนวนแท่นขุดเจาะที่ดำเนินการอยู่มากเป็นอันดับสองของประเทศ

+ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังเกิดเหตุบุกรุกที่แหล่งผลิตน้ำมันดิบ Sharara ซึ่งปัจจุบันผลิตอยู่ที่ประมาณ 270,000 บาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตามบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียได้เข้าดำเนินการตรวจสอบแล้วแต่ยังไม่ทราบผลกระทบที่แน่ชัดว่าต่อปริมาณการผลิต นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุประท้วงของแรงงานที่ท่าเรือ Zueitina หลังได้มีการเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้อาจมีการปิดท่าเรือหากไม่สามารถเจรจากันได้ในเร็วนี้

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่สิงคโปร์ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับสูงสุดในรอบปี อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ของซาอุดิอาระเบียและอินโดนีเซียที่ยังอยู่ในระดับสูง

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงหนุนจากการนำเข้าน้ำมันดีเซลของซาอุดิอาระเบียที่เพิ่มขึ้นหลังโรงกลั่นในประเทศเกิดปัญหาขัดข้อง นอกจากนี้ราคายังได้รับแรงหนุนจากอุปทานในภูมิภาคที่ตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงฉุกเฉินของโรงกลั่นในเกาหลีใต้

ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 47-52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 49-54 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ คาดจะปรับลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน หลังโรงกลั่นในสหรัฐ เพิ่มกำลังการกลั่นขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศและภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการนำเข้าน้ำมันดิบที่คาดจะปรับลดลง โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 ส.ค. ปรับลดลง 6.5 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่ระดับ 475.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล

การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังผู้ผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ หลังผู้ผลิตในสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นต่อเนื่อง โดย Baker Hughes รายงานปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 3 แท่นมาอยู่ที่ระดับ 768 แท่น ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่สองในรอบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนต่อเนื่องหลังกลุ่มประเทศสมาชิกในข้อตกลงได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิรัก คาซัคสถาน และมาเลเซียแสดงเจตจำนงพร้อมที่จะเพิ่มความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตให้เป็นไปตามข้อตกลง นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียประกาศลดการส่งออกน้ำมันดิบในเดือน ก.ย. ลงประมาณ 520,000 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะปรับลดการส่งออกลงร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมด