
บทบรรณาธิการ
แม้รัฐบาลจะประกาศชะลอบังคับใช้มาตรา 101, 102 และ 122 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ออกไปอีก 120 วัน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ให้เวลานายจ้างปรับตัวรับกฎหมายใหม่ แต่ผลกระทบหลัง พ.ร.ก.ดังกล่าวมีผลตั้งแต่ 23 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา ยังเกิดขึ้นในวงกว้าง
ภาพปรากฏการณ์แรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะชาวเมียนมาที่หอบหิ้วสัมภาระต่อแถวรออพยพกลับบ้านทะลักด่านชายแดนชี้ให้เห็นว่าโทษตามบทบัญญัติกฎหมายฉบับนี้ที่ค่อนข้างรุนแรงก่อให้เกิดความวิตกกังวลทั้งต่อนายจ้างและลูกจ้างแรงงานต่างด้าว ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา ลาว กัมพูชา
และแม้รัฐจะใช้อำนาจพิเศษชะลอจับกุมผู้ฝ่าฝืน 3 ฐานความผิด ตามมาตรา 101, 102 และ 122 ได้แก่ 1.ลูกจ้างต่างด้าวที่ทำงานต้องห้ามหรือทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต 2.นายจ้างที่รับคนต่างด้าวทำงานต้องห้ามหรือไม่มีใบอนุญาต และ 3.นายจ้างที่รับคนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงานกับตนเข้าทำงานออกไป 120 วัน แต่เนื่องจากบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนนอกเหนือจากส่วนที่ชะลอบังคับใช้ยังมีอีกจำนวนมาก ความตื่นตระหนกจึงไม่ได้ลดน้อยลง
ล่าสุด ข้อเสนอของภาคเอกชนที่ขอให้รัฐผ่อนปรนมากขึ้นเพิ่งได้รับไฟเขียวเพิ่ม โดยจะให้ต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้นายทะเบียนทราบ ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท ยังไม่ต้องรับโทษ ให้เวลาดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายอีก 180 วัน พร้อมยืดเวลาบังคับใช้ 3 มาตราข้างต้น จากเดิม 120 วันเป็น 180 วัน น่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้นายจ้างกับลูกจ้างต่างด้าวเพิ่มขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาดูว่าหลังเอกชนหลายองค์กรสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น และชี้ว่าการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้จะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง กระทบภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ จะทำให้รัฐผ่อนคลายนโยบายจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวแนวทางใดเพิ่มอีกบ้าง
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกพ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวการกวดขันจับกุมการใช้แรงงานผิดกฎหมาย การใช้แรงงานทาส แรงงานเด็ก รวมทั้งปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย เป็นผลมาจากไทยถูกกดดันจากนานาประเทศโดยเฉพาะสหรัฐ สหภาพยุโรป ดังนั้นโอกาสที่ปรับแก้ไขกฎหมายทั้งฉบับให้คลายความเข้มงวดลงกว่านี้จึงอาจเป็นไปได้ยาก
ที่ต้องตระหนักและให้ความสำคัญยิ่งกว่าคือต้องควบคุมดูแลให้เจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใสเป็นธรรม อย่าให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นเพราะนอกจากจะซ้ำเติมปัญหาแล้ว ยังทำลายทั้งชื่อเสียงภาพลักษณ์ของประเทศ