ททท.เร่งปลุกตลาดทุกรูปแบบ แก้โจทย์ชาติเอเชียหันบูม “เที่ยวในประเทศ”

ตลาดท่องเที่ยว “เอเชียใต้-อินเดีย-CLMV” ยังโตสวนกระแส ททท.เร่งเครื่องปลุกตลาดทุกรูปแบบ เผยทุกประเทศในเอเชียแห่บูม “เที่ยวในประเทศ” ปลุกเศรษฐกิจภายใน ล่าสุดเตรียมเข็นกลยุทธ์เพิ่มดีลโปรโมชั่น-ดันโปรดักต์ใหม่กระตุ้นการใช้จ่ายนักท่องเที่ยว-รับกระแสนักเดินทางเที่ยวสั้นอยู่ต่ำกว่า 48 ชม. ขณะที่ “จีน” ตลาดเบอร์ 1 ของไทยเริ่มได้รับผล กระทบจากสงครามการค้าแล้ว

นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ตลาดที่มีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวดีมากในขณะนี้คือ เอเชียใต้และอินเดีย โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตมากกว่า 20% โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่เติบโตมากกว่า 24% ซึ่งนักท่องเที่ยวตลาดนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่

ประกอบด้วย กลุ่มครอบครัวที่นิยมเดินทางท่องเที่ยวในจุดหมายปลายทางสำหรับครอบครัว อาทิ ธีมปาร์ค สวนน้ำ หรืออื่น ๆ และกลุ่มไมซ์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่นิยมการสังสรรค์ นอกจากนั้นตลาดศรีลังกาก็เติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน โดยประเมินว่าตลาดนี้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี

“ตลาดประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV หรือกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามก็มีการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด เพียงแต่โจทย์ของตลาดนี้คือทำอย่างไรให้ได้นักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีการจับจ่ายใช้สอยสูง ๆ เข้ามาในประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากเวียดนามถือว่ามีการจับจ่ายใช้สอยมากและน่าจับตามองเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จาก เมียนมาและกัมพูชา” นายฉัททันต์กล่าว

ทุกชาติปลุก “เที่ยวในประเทศ”

นายฉัททันต์กล่าวต่อไปอีกว่า ปรากฏการณ์ด้านการท่องเที่ยวหนึ่งที่เริ่มเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในขณะนี้คือ ทุกประเทศพยายามเร่งกระตุ้นให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากยิ่ง เพื่อเพิ่มรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ ดังนั้น นอกจากคู่แข่งทางด้านการท่องเที่ยวเดิมอย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือเวียดนามแล้ว ขณะนี้การท่องเที่ยวในประเทศของแต่ละประเทศยังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญด้วย

“ประเด็นนี้ ททท.ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือ โดยเลือกนำเสนอภาพลักษณ์ทางด้านการท่องเที่ยวที่มอบประสบการณ์ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวที่หาได้ภายในประเทศ” นายฉัททันต์กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ททท.ยังคงยุทธศาสตร์ตามแผนเดิมที่วางไว้ เนื่องจากการตลาดรายเซ็กเมนต์ที่วางรากฐานมาโดยตลอดได้รับผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็มีนโยบายลงไปถึงสำนักงานทั่วภูมิภาคให้ยืดหยุ่นตามความเหมาะสมและยกระดับมาตรฐานให้เข้มข้นมากขึ้น อาทิ ปรับจากการจัด famtrip ที่จะแสดงผลระยะยาวไปเป็น joint promotion ที่เห็นผลเร็วกว่า หรือปรับเพิ่มจำนวนโปรโมชั่นและความถี่ รวมถึงการทำโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินมากยิ่งขึ้นตามนโยบายของ ททท. พร้อมทั้งประคองราคาแพ็กเกจและสินค้าทางการท่องเที่ยวไม่ให้ดัมพ์ราคาลงแข่งขันเพียงอย่างเดียว เป็นต้น

โดยล่าสุด ททท.สำนักงานกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้ให้การสนับสนุนในฐานะคนกลางระหว่างสายการบินสัญชาติเกาหลีที่สนใจเปิดเส้นทางบินเข้ามาในท่าอากาศยานที่อยู่ทางตอนเหนือของไทยอย่างท่าอากาศยานเชียงใหม่และเชียงราย กับทางบริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการท่าอากาศยานของเกาหลี เพื่อเปิดเส้นทางใหม่ให้สะดวกยิ่งขึ้นแล้ว

เร่งกระตุ้นการใช้จ่าย

รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ด้วยพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกถือเป็นตลาดระยะใกล้ที่พฤติกรรมนักท่องเที่ยวมักเดินทางท่องเที่ยวในระยะเวลาสั้น ๆ ที่สั้นลงเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มที่นิยมเที่ยวแบบ microcation ภายในเวลา 24-48 ชั่วโมง ททท.จึงต้องเร่งนำเสนอโปรดักต์ทางด้านการท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความถี่ในการเยือนไทย รวมถึงวางกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทันทีที่เดินทางมาถึงด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าในครึ่งปีหลังนี้ประเทศไทยจะสามารถประคองจำนวนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เติบโตได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ราว 10%

สงครามการค้าเริ่มพ่นพิษ “จีน” 

สำหรับตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดที่ครองจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับ 1 นั้นพบว่านับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ พบว่าขณะนี้ประเด็นดังกล่าวส่งผลกับเศรษฐกิจของจีน อย่างชัดเจน คนจีนเริ่มรัดเข็มขัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวในระยะใกล้หรือระยะไกล ไม่เพียงเท่านี้รัฐบาลจีนยังมีความพยายามที่จะพยุงเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ

ทั้งในรูปแบบการทุ่มงบประมาณกระจายการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวไปในทุกมณฑล รวมทั้งผลักดันด้านขนส่งสาธารณะทั้งรถไฟความเร็วสูงและท่าอากาศยาน ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีผลทำให้คนจีนบางส่วนตัดสินใจเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น4 เดือนแรกรายได้บวก 1.15%


ทั้งนี้ จากรายงานของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน 2562) ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยรวม 13.99 ล้านคน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.11% คิดเป็นมูลค่ารายได้ที่ 7.38 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.15% โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 9.12 ล้านคนขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.53% และสร้างรายได้มูลค่า 4.02 แสนล้านบาทขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.32%