นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนสิงหาคม 2560 จากประชาชน 2,246 คน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวดีขึ้น ครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ยกเว้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคต เพิ่มเป็น 74.5 และ 84.2 จาก 73.9 และ 83.1 ในเดือนกรกฎาคม แต่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบัน ลดลงจาก 51.7 มาอยู่ที่ 51.6 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต เพิ่มขึ้นจากกรกฎาคม 62.2 69.1 90.4 มาอยู่ที่ 62.4 69.7 91.5 ตามลำดับ
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเล็ต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ปัจจัยบวกในเดือนสิงหาคม ที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นดีขึ้น ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2560 ขยายตัว 3.7% สูงสุดรอบ 17 ไตรมาส ทำให้ครึ่งปีแรกขยายตัว 3.5% ผลจากแรงขับเคลื่อนจากการส่งออก การท่องเที่ยว บริการและลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว สศช. จึงปรับประมาณการทั้งปีจาก 3.5% เป็น 3.7% ประกอบกับการส่งออกเดือนกรกฎาคม ขยายตัว 10.48% และ 7 เดือนแรก ขยายตัวแล้ว 8.20 % คณะรัฐมนตรี (ครม.) คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50 % ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 40.08 จุด และเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ หลังไม่มีความรุนแรงจากกรณีศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว ขณะที่ปัจจัยลบ คือ น้ำท่วมหลายพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ราคาน้ำมันขายปลีกเพิ่มขึ้น ราคาพืชผลเกษตรส่วนใหญ่ทรงตัวระดับต่ำ ผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าทรงตัวสูง และเริ่มกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลีเหนือ
“ผลสำรวจสะท้อนว่าความเชื่อมั่นประชาชนเริ่มดีขึ้น มองอนาคตดีขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แต่ยังมองว่าฟื้นตัวในมหภาค แต่เศรษฐกิจรากหญ้าไม่ได้เห็นชัด จึงทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจปัจจุบันยังติดลบ เพราะยังห่วงเรื่องรายได้ในอนาคต ค่าครองชีพสูงกว่ารายรับ ซึ่งดูได้จากการสำรวจภาวการณ์ใช้จ่ายของผู้บริโภคเดือนสิงหาคม ยังเห็นไม่เหมาะสมที่จะซื้อรถยนต์คันใหม่ ซื้อบ้านใหม่ ใช้จ่ายท่องเที่ยว และลงทุนทำธุรกิจเอสเอ็มอี เพิ่มขึ้น และดัชนีวัดความสุขในการดำรงชีวิต ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 9 เดือน “
นายธนวรรธน์กล่าวว่า เชื่อว่าอีก 2 เดือนดัชนีมองเศรษฐกิจปัจจุบันจะดีขึ้น และดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมจะกลับมาเป็นขาขึ้น เพราะมีปัจจัยเรื่องการฟื้นตัวของการส่งออก ราคาพืชผลดีขึ้น ฤดูการใช้จ่ายและท่องเที่ยวปลายปีเริ่มกลับมา อีกทั้งนโยบายสวัสดิการคนจน และลงทุนภาครัฐในครึ่งปีหลัง จะเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน ช่วยดึงกำลังซื้อที่เหลือของปีนี้ รวมถึงความวิตกต่อปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลาย ดูจากผลสำรวจเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองเดือนสิงหาคมปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนจากปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้ทางศูนย์ฯเตรียมปรับเพิ่มประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งปี 2556 ขยายตัว 3.8% และมีโอกาสถึง 4% จากเดิม 3.6% โดยสมมุติฐานจากจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 3.8% และไตรมาส 4 ขยายตัวเกิน 4% การส่งออกทั้งปีขยายตัว 5% การท่องเที่ยวยังโตดี แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจคือปัญหาขัดแย้งสหรัฐ-เกาหลีเหนือ จนกระทบต่อการท่องเที่ยว และการส่งออก จนกระทบจิตวิทยาการใช้จ่ายและท่องเที่ยวปลายปีนี้
ที่มา : มติชนออนไลน์