บิ๊กเชนจ์ “อิชิตัน” หมดยุคแจกรางวัลพร่ำเพรื่อ!

นายธนพันธุ์ คงนันทะ รองกรรมการผู้จัดการสายงานช่องทางจัดจำหน่ายบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดชาพร้อมดื่มหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละกว่า 10% จนมูลค่าตลาดในปี 2561 อยู่ที่  11,892 ล้านบาท จากช่วงพีคสุดที่เคยมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 17,000 ล้านบาท (เมื่อปี 2015)

เนื่องจากผู้บริโภคส่วนหนึ่งเลิกดื่มชาเขียว จากหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในกลุ่มเครื่องดื่มที่รุนแรง ตลอดจนการสวิชต์ไปหาเครื่องดื่ม ที่ให้คุณประโยชน์ด้านสุขภาพ อาทิ น้ำเปล่า น้ำแร่ น้ำผลไม้คั้นสด ฯลฯ

“ชาเลนจ์ของเราคือ การทำให้คนหันมาดื่มชาเขียวเพราะเรื่องสุขภาพอีกครั้ง เหมือนกับที่คนเริ่มดื่มชาเขียวในช่วงแรกๆ ภายใต้การทำตลาดของแบรนด์ ชิซึโอกะ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของชาพรีเมียม”

ซึ่งภายหลังจากการผลักดันแบรนด์ชิซึโอกะมาเป็นเวลาปีกว่าๆ พบว่า ไม่เพียงแต่กลุ่มคนเมือง หรือกลุ่มคนที่รักสุขภาพ จะชื่นชอบสินค้าดังกล่าวเท่านั้น แต่กลุ่มนักศึกษา คนทำงาน ฯลฯ ก็ให้การตอบรับที่ดีเช่นกัน แม้ว่าราคาขายต่อขวดจะอยู่ที่ 30 บาท สูงกว่ารสชาติทั่วไป

เนื่องจากเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสนใจกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ชิซึโอกะ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีมาร์เก็ตแชร์ในไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 37% เป็นผู้นำตลาดในเซกเมนต์นี้ แซงหน้าฟูจิ ที่มีมาร์เก็ตแชร์ 35% และอิโตเอ็นที่มีมาร์เก็ตแชร์ 23%

สำหรับตลาดชาพรีเมียม ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเติบโตถึง 30% คิดเป็นมูลค่า 676 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตในอัตราดังกล่าวต่อเนื่องทั้งปี

นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีแรกที่บริษัทไม่ทำแคมเปญหน้าร้อน หรือแคมเปญใหญ่ระดับประเทศ  (Nation Wide) ที่เน้นแจกของรางวัลใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถ ทอง ไอโฟน ฯลฯ เนื่องจากการทำแคมเปญในลักษณะนี้ ใช้เงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และผลลัพท์ที่ได้ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ใช้ไป เพราะผู้บริโภคมองว่าไม่แปลกใหม่แล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนก่อน เนื่องจากสินค้าอื่นๆก็ทำ

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้หันมาทำแคมเปญแบบเจาะจงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น เช่น ทำแคมเปญกับร้านค้าตัวแทน ช่องทางจำหน่าย  รวมถึงการจับมือกับการีนา ออนไลน์ ทำแคมเปญแจกของรางวัลเป็นไอเท็มในเกม เป็นต้น

คาดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้อิชิตันกลับมามียอดขายเติบโตอีกครั้ง โดยครึ่งปีแรก ผลประกอบการบริษัท มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,964.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,654.5 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,940 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท