กฟผ. แจงสถานการณ์ไฟฟ้าในภาคใต้พ้นวิกฤติ หลังแหล่งก๊าซธรรมชาติพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เกิดขัดข้องและหยุดซ่อมนาน 18 วัน พร้อมขอบคุณประชาชนในพื้นที่ภาคใต้และทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือประหยัดการใช้ไฟฟ้าจนสถานการณ์คลี่คลายสู่สภาวะปกติ ย้ำอนาคตภาคใต้จำเป็นต้องมีแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักเพิ่ม เพื่อความมั่นคงและลดความเสี่ยง
นายสุธน บุญประสงค์ รองผู้ว่าการระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ตามที่แหล่งก๊าซธรรมชาติ JDA-A18 หยุดส่งก๊าซธรรมชาติ ระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน – 11 กรกฎาคม 2560 รวม 18 วัน เมื่อวานนี้ (11 กรกฎาคม 2560) ปตท. ได้เริ่มส่งก๊าซธรรมชาติได้อีกครั้ง กฟผ. จึงได้ทยอยนำโรงไฟฟ้าจะนะ เครื่องที่ 1 และ 2 กลับเข้าใช้งาน เป็นผลให้สถานการณ์ความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
สำหรับสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของภาคใต้ในภาพรวมช่วงที่มีการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ระดับ 2,463 เมกะวัตต์ ขณะที่ผลิตจากแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่มีในภาคใต้ได้ประมาณ 1,800 เมกะวัตต์ และซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กประเภทชีวมวลประมาณ 60 เมกะวัตต์ ส่วนที่ขาดได้ส่งไฟฟ้าจากภาคกลางไปเสริมอีกประมาณ 600 เมะวัตต์ และมีการซื้อจากมาเลเซียมาเสริมบางวัน รวมถึงมีการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าทดแทนรวม 33.5 ล้านลิตร
“ต้องขอขอบคุณพี่น้องภาคใต้และทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือประหยัดการใช้ไฟฟ้า จนทำให้ระบบไฟฟ้าพ้นวิกฤติในครั้งนี้ ในอนาคตคาดว่าภาคใต้ยังมีแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงในระยะยาว จึงต้องมีแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักในพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตของภาคใต้ได้อย่างเพียงพอ” รองผู้ว่าการระบบส่ง กฟผ. กล่าวในที่สุด