“กรุงเทพประกันภัย” หวังเบี้ยงานใหม่เสริมพอร์ตQ2-3 รอดโควิด ทั้งปีเข้าเป้า 2.28 หมื่นล.

“กรุงเทพประกันภัย” มั่นใจปีนี้เบี้ยรับรวมเข้าเป้า 22,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ตามแผน อานิสงส์โปรเจ็กซ์เบี้ยงานใหม่ทั้ง “ประกันโควิด-ประกันออมทรัพย์ครู-ประกันนาข้าว/ข้าวโพด-ประกันโครงการใหญ่-งานรับประกันต่อในต่างประเทศ” หนุนเข้าพอร์ตเพิ่มรวมๆ เป็นหลักพันล้านบาท พร้อมทุ่มงบลงทุนเทคโนโลยีปรับ Core Business System รองรับ New Normal Lifestyle ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว

นายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวว่า ในปี 2563 บริษัทคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 22,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามแผนที่ตั้งเป้าไว้ โดยมีปัจจัยหลักมาจากโปรเจ็กซ์เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยประกันโควิดซึ่งขณะนี้เข้ามาแล้วกว่า 300 ล้านบาท เบี้ยประกันออมทรัพย์ครูจำนวน 220 ล้านบาท รวมถึงจะมีเบี้ยประกันบางส่วนจากงานประกันวิศวกรรมและทรัพย์สินด้วย

ขณะเดียวกันบริษัทได้เข้าไปรับแชร์โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งเชื่อว่าประมาณ 80% ของโครงการต่างๆ น่าจะต้องเกิดขึ้นตามที่หลายๆ โปรเจ็กซ์ประมูลกันไปแล้ว เนื่องจากขณะนี้ตัวเลขส่งออก การบริโภคในประเทศ และการใช้จ่ายของภาคเอกชนกำลังมีปัญหา สิ่งหนึ่งที่จะผลักดันได้คือโครงการลงทุนของภาครัฐ โดยเราถือเป็นหนึ่งผู้เล่นในตลาด(Player) ร่วมกับบริษัทประกันรายอื่นๆ อีก 2-3 แห่ง โดยจะรับประกันสัดส่วน 30-40% แล้วแต่สัญญา คาดว่าน่าจะเกิดเบี้ยประกันก้อนนี้เข้ามาได้อีก 80-100 ล้านบาท ประกอบปีนี้บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนในการรับประกันภัยข้าวนาปีและประกันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาอยู่ที่ 14.5% จากเดิม 5.6% จะทำให้เบี้ยที่จะได้จากงานส่วนนี้เพิ่มเข้ามาอีกราว 400 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทคาดหวังการขยายงานในตลาดอาเซียนที่มีแนวโน้มเติบโตจากการขยายการลงทุนของนักลงทุนไทย ซึ่งคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับต่อเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับธุรกิจประกันภัยทั้งในไทยและเมียนมาเรียบร้อยแล้วที่จะเข้าไปตั้งสำนักงานผู้แทน รวมไปถึงได้วางนโยบายกลางของบริษัทสนับสนุนการรักษาอัตราการต่ออายุและขยายฐานลูกค้ารายย่อย ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ขึ้นมาอยู่ที่ 90% พิจารณาจากพอร์ตรถยนต์ที่คิดเป็นสัดส่วน 40% ของเบี้ยรับรวม ฉะนั้นทั้งหมดนี้น่าจะช่วยเป็นแบ็คอัพให้บริษัทมีผลดำเนินงานที่ดีในช่วงไตรมาส 2-3 ได้

นอกจากนี้ได้เล็งเห็นโอกาสของตลาดประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ ที่ลูกค้าตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น จากผลชี้วัดของประกันโควิด ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้พัฒนาออกผลิตภัณฑ์กรมธรรม์ประกันสุขภาพให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงประกันภัย COVID-19 (ประกันภัย 3 โรคกวนใจเพิ่มภัยโควิด) และได้นำบริการ Telemedicine เข้ามาให้บริการลูกค้าในปัจจุบัน และพร้อมจะขยายการให้บริการในรูปแบบใหม่เพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

รวมถึงในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทจะใช้กลยุทธ์เพิ่มการลงทุนในด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการและพร้อมรองรับ New Normal Lifestyle ด้วยการปรับเปลี่ยน Core Business System (CBS) ขยายการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ (Robotic Process Automation: RPA) มาปรับปรุงกระบวนการทำงาน ทั้งด้านรับประกันภัยและสินไหมทดแทนเพื่อให้ลูกค้าและคู่ค้าได้รับความสะดวกรวดเร็วขึ้นแล้ว

“เราต้องลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี โดยได้ไตั้งเป้าเป็น Data Driven Organization ด้วยการปรับปรุงระบบ Enterprise Data Warehouse ของบริษัทเพื่อใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ สนับสนุนการทำงานและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนที่ชัดเจนในการก้าวไปข้างหน้า”

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัททำเบี้ยได้ 6,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 328 ล้านบาท และรายได้สุทธิจากการลงทุน 459 ล้านบาท กำไรก่อนภาษีเงินได้ 788 ล้านบาท และเมื่อหักภาษีเงินได้แล้วบริษัทมีกำไรสุทธิ 668 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% โดยมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 6.28 บาท