บล.ไทยพาณิชย์มองการกลับเข้าลงทุนในเอเชียและไทยของนักลงทุนต่างชาติพึ่งเริ่มต้น ชี้ปี 2564 มีโอกาสเห็นดอลลาร์ต่ำกว่า 30 บาท
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investment Office บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS CIO) เปิดเผยว่า เชื่อว่ากระแสการ “เปลี่ยนกลุ่ม” การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ จากที่เน้นแต่หุ้นเติบโต (Growth) มาตลอดปีไปเป็นหุ้นพื้นฐานและวัฏจักร (Cyclical Value) พึ่งเริ่มต้น โดยนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้าลงทุนในตราสารหนี้ไทยในปี 2564 ราว 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนสิ้นปี 2563 ที่ระดับ 30.8 บาทต่อดอลลาร์ โดยเชื่อว่าจะแข็งค่าลงสู่ระดับ 29.7 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2564
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
สำหรับกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาในหุ้นวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ถึง 18,958 ล้านบาท หรือราว 619 ล้านดอลลาร์ เป็นจุดเพียงจุดเริ่มต้นของการ “เปลี่ยนกลุ่ม” การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ จากที่เน้นแต่หุ้นเติบโต (Growth) มาตลอดปีไปเป็นหุ้นพื้นฐานและวัฏจักร (Cyclical Value) โดยเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าว เป็นหนึ่งในสามเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งคือ ตลาดหุ้น ตลาดบอนด์ และดุลการค้า ที่สามารถทำให้เงินบาทแข็งค่าได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงปี 2564
เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นมีผลกับเงินบาทที่สุด
ดร.จิติพล มองว่า ไม่ปรกติที่จะมีเงินไหลเข้าในปริมาณมาก โดยมองย้อนกลับไปในช่วงหลังวิกฤติการเงินโลกปี 2551 แม้จะเป็นเดือนที่มีเงินทุนไหลเข้าหุ้นไทยมากที่สุด 10 อันดับแรก ก็อยู่แค่ระดับ 900-1500 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ดังนั้นการที่นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นถึง 600 ล้านดอลลาร์ในวันเดียวจึงถือว่าน่าสนใจมาก
และยิ่งถ้ามองในมุมความสัมพันธ์กับอัตราแลกเปลี่ยน จะพบว่าในช่วง 10ปีที่ผ่านมาการที่มีเงินทุนไหลเข้าใกล้ 1000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน มักส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าได้ราว 1.5% ทันที
นอกจากหุ้น ตลาดบอนด์ก็น่าจับตา
ดร.จิติพล มองว่า บอนด์เป็นตลาดที่สองที่นักลงทุนต้องติดตามต่อเนื่อง แม้มองในเชิงความสัมพันธ์กับค่าเงินอาจไม่สูงเท่าหุ้น แต่ก็สามารถกดดันให้เงินบาทแข็งค่าได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นกระแสเงินทุนที่เข้ามาอยู่เรื่อย ๆ โดยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา เดือนที่มีเงินทุนไหลเข้าในตลาดบอนด์เกิน 2000 ล้านดอลลาร์ เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 1.0% เช่นกัน
ในปัจจุบัน ถ้านักลงทุนซื้อบอนด์ระยะยาวของไทยแล้วแปลงกลับไปเป็นดอลลาร์ จะมียีลด์ที่สูงกว่าบอนด์สหรัฐที่ระดับอายุเท่ากันราว 50bps จึงมองว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อบอนด์ไทยในปี 2021 ที่ระดับ 1-2 หมื่นล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2016-2019 แต่ในฝั่งหุ้นไทยเชื่อว่าจะยังมีแรงขายปรับสัดส่วนการลงทุนใน Emerging Markets กดดันจึงอาจเห็นเงินทุนไหลออกอยู่เล็กน้อย
ส่วนดุลการค้านั้นแม้จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้พื้นฐานเงินบาทดีขึ้น แต่มักไม่ได้ทำให้เงินบาทแข็งหรืออ่อนค่าได้ในระยะยาว
เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในปี 2564
ดร.จิติพล ประเมินทิศทางเงินบาทในอนาคตไม่น่าที่จะปรับตัวแข็งค่าต่อได้เร็วมากถ้าไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ ๆ ในปีนี้ เพราะสุดท้ายอาจต้องรอให้มีการผลิตยาต้านไวรัสก่อน จึงยังมองว่าจะซื้อขายที่ระดับ 30.8 บาทต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีนี้
แต่ในปี 2564 เชื่อว่าสกุลเงินเอเชียและเงินบาทจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลให้มีกระแสเงินลงทุนกลับเข้าในฝั่งเอเชียและไทยมากขึ้นกว่าปีนี้ ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ก็มีโอกาสอ่อนค่าจากนโยบายการคลังในสหรัฐที่คาดว่าจะสูงกว่าประเทศอื่น จึงประเมินว่าเงินบาทจะแข็งค่าลงไปแตะระดับ 29.7 บาทต่อดอลลาร์ ภายในปลายปี 2564
สำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนไทย ควรจับตากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและทิศทางของค่าเงินทั่วโลกให้ดี เนื่องจากเป็นแนวโน้มหลักของโลกที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ เชื่อว่าเงินบาทที่แข็งจะเป็นประโยชน์กับผู้นำเข้า และประชาชนทั่วไป ทำให้สามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้ถูกลง และมีกำลังลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น ส่วนผู้ส่งออก ควรใช้จังหวะเงินบาทแข็งนำเข้าสินค้าทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือเลือกใช้สกุลเงินท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าเพื่อลดความเสี่ยง โดยอาจทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมได้ด้วย