คนละครึ่ง-ปากประยุทธ์ !

คอลัมน์ สามัญสำนึก 
อิศรินทร์ หนูเมือง

โหรเศรษฐกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชน คาดการณ์ทำนายผลไว้เกือบตรงกันว่า กว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อาจต้องใช้เวลาอีก 24 เดือน เป็นอย่างสูง

ธุรกิจรายใหญ่-สายป่านยาว คงดูแลตัวเองและพนักงานได้

แต่พวกรายกลาง เล็ก และย่อย รัฐต้องออกแบบ “โกดังพักหนี้” และวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ-พิเศษ ไว้ต่อลมหายใจ

ประชาชนทั่วไปและมนุษย์เงินเดือน ต้องอยู่ในภาวะกัดก้อนเกลือกิน

เพื่อเยียวยาค่าครองชีพแก่ประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด รัฐจึงยังจำเป็นต้องใช้ทั้งงบประมาณ และเงินกู้ เพื่อแจกจ่ายอย่างทั่วถึง

กระทรวงการคลังยังเชื่อว่า “การบริโภค” ของประชาชน จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจได้เป็นกอบ-เป็นกำ

จึงดันโครงการชิงโชค “แจกเงิน” ออกมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุม 41 ล้านคน ตั้งแต่ เราไม่ทิ้งกัน แจก 5,000 บาท คนละครึ่ง 3,500 บาท เราชนะ 7,000 บาท และ ม.33 เรารักกัน 4,000 บาท

ในสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โครงการคนละครึ่งสิ้นสุดลงแล้ว สิ้นเดือน พ.ค. โครงการ ม.33เรารักกัน และเราชนะ จะจบลง

ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และสมาคมนักธุรกิจส่งสัญญาณเป็นเสียงเดียวกันว่า จะต้องมี “คนละครึ่ง รอบใหม่” หรือ เฟส 3 ต่อไป

ในขณะเดียวกันก็จะมีโครงการ “แจกเงิน” กลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อยที่รายได้ต่ำ จำนวนใกล้เคียงกับผู้ประกันตน ม.33 รายละ 4,000 บาท ในนามโครงการ “เราผูกพัน”

ทั้งโครงการ “คนละครึ่ง รอบใหม่” และแจกเงินข้าราชการ “เราผูกพัน รอบแรก” คาดว่าจะเริ่มต้นได้ปลาย พ.ค. หรืออย่างช้า มิ.ย. 64

แม้ว่าในภาวะโรคระบาดมีคนกลุ่มเดียวที่ไม่เคยได้รับผลกระทบเรื่องรายได้คือ “ข้าราชการ”

แต่โครงการ “เราผูกพัน” คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มคน ดังนี้ กลุ่มข้าราชการพลเรือนชั้นผู้น้อย ทหาร ตำรวจ ลูกจ้างหน่วยงานราชการทั้งชั่วคราว และประจำ พนักงานราชการ ตามสัญญาจ้างที่มีรายได้หรือเงินเดือน 15,000 บาท ซึ่งมีอยู่ราว 2 แสนราย

ก่อนขึ้นโครงการใหม่-และต่อยอดโครงการเก่า ปลัดกระทรวงการคลังสรุปเม็ดเงินที่ส่งผลต่อแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจไว้ว่า โครงการเราชนะ 2.01 แสนล้านบาท และมาตรา 33 เรารักกัน 3 หมื่นล้านบาท และคนละครึ่ง เงินเข้าสู่ระบบถึง 1.03 แสนล้านบาท

คลังยังมีกระสุนที่กู้มาเก็บไว้สำรองอีก 2 แสนล้าน เพื่อใช้จ่ายในการเยียวยาผลสะเทือนจากโควิด

ภายใต้เสียงสนับสนุนจากทั้งคลัง-แบงก์ชาติ และสภาพัฒน์ที่ระบุว่า โครงการคนละครึ่ง เราชนะ หรือจะมีโครงการเราผูกพัน เป็นโครงการที่ช่วยหนุน-กระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ประมาณ 0.8% ของจีดีพี

ผนึกกันปัจจัยการฉีดวัคซีน-การท่องเที่ยวจะดันให้ทั้งปีนี้ จีดีพีโตได้ตามธงที่ปักไว้ 4%

ข้อกังวลเรื่อง “รัฐบาลถังแตก” ถูกดักทางโดยทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า “ฐานะการคลังยังแน่น” แต่พร้อมกู้เพิ่มถ้ามีวิกฤตซ้ำ-โรคระบาดใหม่รอบที่ 3

ปลัดคลังแจงสี่เบี้ยไว้ว่า “ขณะนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ที่ 52% ขณะที่ประเทศอื่น ๆ สูงกว่า 80-90% ส่วนเงินคงคลังก็ยังอยู่ระดับกว่า 5 แสนล้านบาท ทุนสำรองระหว่างประเทศก็อยู่ระดับสูงกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มากเป็นประวัติศาสตร์”

ขับเคลื่อน-ส่งต่อให้การดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ ผ่านการลงทุนในไตรมาสที่ 3

ประกอบกับเสียงรับประกัน ปั้นเศรษฐกิจ ของ 2 คู่หู-คู่คิด “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ “ม.ล.ชโยทิต กฤษดากร” หัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุก-ทาบทามบริษัทเอกชนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

มีแผนเดินสายพบนักลงทุนขาใหญ่-เอกอัครราชทูตประเทศเป้าหมายไปแล้ว 40 กว่าบริษัท และอยู่ในวาระรอเจรจาอีก 40 บริษัท

หวังดึงเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย สายรถยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์

รวมทั้งการดึงนักลงทุน-นักธุรกิจกระเป๋าหนักจากต่างชาติ มามีสิทธิ์ “ซื้อบ้าน-ที่ดินและคอนโด” ใช้จ่าย-ใช้ชีวิต อยู่ในเมืองไทย

ขณะที่ทีมเศรษฐกิจทั้งคนใน-คนนอก ที่เข้ามาช่วยงานรัฐบาล วิ่งเป็นวัวงานจนขาขวิด เพื่อฟื้นฟู-ปลุกปั้นเศรษฐกิจไทยให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยง กรณีการฉีดวัคซีนไม่เป็นไปตามแผน เอกชนไม่มั่นใจ ไตรมาส 3 อาจจะดิ่งเหวอีกระลอก

แถมต้องระวังปัจจัยเสี่ยง จาก “ปาก” ของท่านผู้นำเอง ที่อาจทำให้ความพยายามทั้งปวง ปราศนาการไปสิ้น