“อาคม” ประชุม รมว.คลังเอเปก เผยแนวทางฟื้นเศรษฐกิจไทยหลังโควิด

ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 28

สศค.เผยผลประชุม รมว. คลังเอเปก ครั้งที่ 28 คาดเศรษฐกิจโลกขยายตัว 5.9% ห่วงภูมิภาคเอเปกเผชิญความท้าทาย ด้าน “อาคม” แจงแนวทางฟื้นเศรษฐกิจไทยหลังโควิดจบ มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น-ปฏิรูปโครงสร้างประเทศระยะยาว เปิด 3R เพิ่มศักยภาพการคลัง

วันที่ 22 ตุลาคม 2564 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปก (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ 28 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

โดยมีนายแกรนท์ โรเบิร์ตสัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนิวซีแลนด์ เป็นประธาน พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้แทนระดับสูงจากสมาชิกเอเปกทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจเข้าร่วมการประชุม

แกรนท์ โรเบิร์ตสัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนิวซีแลนด์ เป็นประธานการประชุม

ธีมการประชุมเอเปกประจำปี 2564 คือ “Join, Work, Grow. Together.” โดยมีการหารือที่สำคัญดังนี้

1.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบาย เพื่อแก้ไขผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และระดับการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น

โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2564 จะขยายตัวที่ร้อยละ 5.9 อย่างไรก็ดี สำหรับภูมิภาคเอเปกนั้น ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในหลายมิติ อาทิ ระดับการฟื้นตัวของแต่ละเขตเศรษฐกิจที่แตกต่างกันจากผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงการดำเนินนโยบายเพื่อรับมือในลักษณะที่แตกต่างกัน สภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น

2.ในการประชุม APEC FMM ครั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือใน 2 ประเด็นหลัก (Priorities) ประกอบด้วย

ประเด็นแรก : การรับมือกับโควิด-19 เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและครอบคลุม (Responding to COVID-19 for a Sustainable and Inclusive Recovery) ที่ประชุมสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายการเงิน การคลัง และการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือพหุภาคี เพื่อรับมือกับผลกระทบของโควิด-19 และก้าวไปสู่การฟื้นตัวอย่างสมดุล ยั่งยืน และทันท่วงทีให้ครอบคลุมทุกมิติและทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศไทยเกี่ยวกับมาตรการในการรับมือกับโควิด-19 ว่า รัฐบาลได้มีการดำเนินการอย่างทันท่วงทีเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการใช้มาตรการการเงินการคลัง

อาทิ โครงการให้เงินช่วยเหลือเยียวยามาตรการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ มาตรการพักชำระหนี้ การดำเนินมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมทั้งสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภายในประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการรักษาความสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศในระยะยาว ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจภายในประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากยิ่งขึ้น ส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

รวมทั้งการผลักดันโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รวมถึงการเติบโตอย่างทั่วถึง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเท่าเทียมกันยิ่งขึ้น

สำหรับในระยะปานกลางถึงระยะยาวนั้นการดำเนินนโยบายการคลังจะมีความท้าทายยิ่งขึ้นในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากรวมถึงการปฏิรูปภาษีซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

ประเด็นที่ 2 การใช้นโยบายการคลังและการบริหารงบประมาณเพื่อรับมือกับความท้าทาย (The Use of Fiscal and Budget Management to Address Ongoing Challenges) ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการดำเนินนโยบายการคลังและการบริหารงบประมาณในการรับมือกับความท้าทายจากโควิด-19

เนื่องจากมีส่วนช่วยในการรักษาระดับการจ้างงาน รักษาระดับการบริโภค ส่งเสริมให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะ และช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของความโปร่งใสทางการคลัง ความโปร่งใสด้านหนี้สาธารณะ ความมีประสิทธิภาพของการจัดสรรและใช้จ่ายงบประมาณและความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมาชิกเอเปกควรพิจารณาดำเนินนโยบายการคลังอย่างเหมาะสมเพื่อรับมือกับความท้าทายในด้านต่าง ๆ ควบคู่กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสริมสร้างเสถียรภาพทางการคลังอย่างยั่งยืน

อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อรับมือกับโควิด-19

โดยได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยในช่วงก่อนที่จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาคการคลังของไทยมีความเข้มแข็ง มั่นคง และมีเสถียรภาพ ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับที่สามารถรองรับการดำเนินนโยบายการคลังในภาวะวิกฤตได้

สำหรับภาคการคลังของไทยในปัจจุบันยังมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยรัฐบาลยังมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ได้

อีกทั้ง แนวทางในการเพิ่มศักยภาพทางการคลังจะดำเนินการผ่านหลัก 3Rs ประกอบด้วย 1.Reform หรือการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ 2.Reshape หรือการปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณ และ 3.Resilience หรือการบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีภูมิคุ้มกันและสามารถรองรับต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ ได้

นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนควบคู่กันผ่านการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ใช้พลังงานสะอาดให้มากขึ้น

ในส่วนของกระทรวงการคลังได้มีการใช้มาตรการภาษีและการคลังเพื่อร่วมผลักดันการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ รวมถึงการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติและการแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปก (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 28 ด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

3.ที่ประชุม APEC FMM ได้พิจารณารับรองแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเซบูฉบับใหม่ (New Strategy for Implementation of the Cebu Action Plan) ซึ่งเป็นการจัดทำยุทธศาสตร์ฉบับใหม่โดยได้นำเอาปัจจัยแวดล้อมใหม่ที่สำคัญ ได้แก่

  • วิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 ซึ่งมุ่งเน้นปัจจัยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใน 3 มิติ ได้แก่ การค้าและการลงทุน นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุมและ
  • สถานการณ์ของโควิด-19 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าประเทศไทยจะเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 และแจ้งกำหนดการประชุมภายใต้กรอบ APEC FMP ในปี 2565 ดังนี้

  • การประชุมระดับปลัดกระทรวงการคลังและรองผู้ว่าการธนาคารกลางเอเปก (APEC Finance and Central Bank Deputies’ Meeting : APEC FCBDM) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 มีนาคม 2565
  • การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังเอเปก (APEC Finance Senior Officials’Meeting : SFOM) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-24 มิถุนายน 2565 และ 3) การประชุม APEC FMM มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19–21 ตุลาคม 2565พร้อมทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมภายใต้กรอบ APEC FMP ในปีหน้าจะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกเอเปกและองค์กรระหว่างประเทศในการดำเนินงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนภูมิภาคเอเปกให้มุ่งสู่การเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืนและครอบคลุมต่อไป